Category: Health

Health

  • ใบบัวบก สารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการทำลายของเซลล์ประสาท

    ใบบัวบก สารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการทำลายของเซลล์ประสาท

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    ใบบัวบก สารต้านอนุมูลอิสระ สมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องของการทำลาย ชะลอการทำลายของเซลล์ประสาท และช่วยในเรื่องของการเร่งการสร้างเนื้อเยื่อพวกคอลลาเจน

        ใบบัวบก สารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการทำลายเซลล์ประสาทและเป็นสารสกัดชนิดบริสุทธิ์เข้มข้น หรือผักหนอก จัดเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น ทุกคนก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ปัจจุบันมีการนำบัวบกมาใช้ทั้งต้น  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของยารักษาโรคเวชภัณฑ์ หรือการนำมาใช้เป็นอาหารค่ะ จากข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ พบว่ามีบัวบกมีสารไตรเตอร์ปินอยด์ และไคโตซาน อย่างเช่นไอตินโคซาย  ใบบัวบกสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องของการทำลาย ชะลอการทำลายของเซลล์ประสาท และช่วยในเรื่องของการเร่งการสร้างเนื้อเยื่อพวกคอลลาเจนทำให้แผลสมานผิวได้เร็วขึ้นค่ะ

    จากรายงานศึกษาวิจัยด้านการแพทย์ของสรรพคุณบัวบก พบว่าบัวบกสามารถกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเส้นเลือดขอด สำหรับประชาชนท่านไหนที่เป็นนักเดินทางในการท่องเที่ยว ที่ต้องนั่งเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศเป็นระยะเวลานานๆ หรือนั่งรถบัส ก็มักจะมีภาวะที่เป็นโรคเส้นเลือดขอดมารำคาญจิตใจ  ให้รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของใบบัวบก หรือยาใบบัวบกก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคได้ค่ะ นอกจากนี้ในส่วนของคุณของใบบัวบกจะช่วยในเรื่องของการเร่งการสร้างเนื้อเยื่อ ช่วยสมานแผลนะค่ะ บ้านไหนที่มีผู้ป่วยนอนติดเตียง มักจะมีปัญหาเรื่องแผลกดทับนะ ก็แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของใบบัวบก เพราะจะช่วยให้แผลกดทับตื้นเร็วขึ้นและสมานแผลได้ดีขึ้นค่ะ

    ใบบัวบก สารต้านอนุมูลอิสระลักษณะใบบัวบก เป็นต้นไม้ล้มลุก แช่น้ำไม่ตน ทนน้ำขัง ทอดเลื้อยไปตามดิน มีรากออกตามข้อ ชูใบตั้งตรง ใบเป็นใบเดี่ยว มีก้านใบชูยาวลักษณะเป็นรูปโต หรือรูปกลม มีรอยเว้าลึกที่ฐานใบ ขอบใบมีรอยหยัก ผิวใบด้านบนค่อนข้างเรียบ ดอกเป็นดอกช่อคล้ายร่มออกจากข้อ มีช่อล 3-4 ดอก แต่ละดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ

    สรรพคุณ ใบบัวบก เป็นสมุนไพรที่บำรุงสมอง ลดอาการปวดศีรษะข้างเดียว แก้ร้อนในในกระหายน้ำ รักษาความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และรักษาแผลสด หายเร็ว ลดการเกิดแผลเป็น

    ส่วนที่นำไปใช้  ต้นและใบสด

    การนำไปใช้ ใบบัวบกล้างสะอาด 1 กำมือ รับประทานสด หรือทำน้ำใบบัวบก นำใบบัวบกตวงใส่แก้พอแน่น ตำหรือปั่นให้ละเอียด เติมน้ำ 1 แก้ว คั้นแล้วกรองเอาแต่น้ำเติมน้ำตาล หรือเกลือเล็กน้อย รับประทานครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร

    น้ำใบบัวบก ส่วนผสม

    • 1. ใบบัวบก 10 กรัม
    • 2. น้ำเชื่อม 15 กรัม
    • 3. น้ำเปล่าสุก 240 กรัม

    วิธีทำ นำใบบัวบกล้างให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำครึ่งส่วนปั่นให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำที่เหลือคั้นน้ำให้แห้ง นำน้ำที่ได้ใส่น้ำเชื่อม ชิมรสตามชอบ เติมน้ำแข็งเกร็ด

    แกงใบบัวบก
    1.พริกแห้งเม็ดใหญ่
    2.พริกขี้หนูแห้ง
    3.ขมิ้นสด
    4.ข่าซอยละเอียดเกลือ
    5.ตะไคร้ซอยละเอียด
    6.กระเทียมซอย
    7.หอมแดง
    8.พริกไทยเม็ด
    9.กะปิ

    แกงใบบัวบกใส่หมู
    1.เนื้อหมู 200 กรัม
    2.น้ำพริกแกง
    3.ใบบัวบก 3 ถ้วย
    4.น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
    5.น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
    6.เกลือ ½ ช้อนชา

    วิธีทำ

    1.ตำเครื่องพริกแกงต่างๆ ให้เข้ากันดี หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นบางๆ ส่วนใบบัวบกเด็ดเป็นใบๆ เตรียมไว้
    2.ต้มน้ำให้เดือด ละลายน้ำพริกแกงลงไป พอน้ำเดือดใส่เนื้อหมูลงไป รอจนเนื้อหมูสุก
    3.ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลาและน้ำตาลทราย ใส่ใบบัวบกลงไปพอใบบัวบกเริมสลดปิดไฟยกลงได้เลยค่ะ

    คุณประโยชย์ของใบบัวบก-สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นทั้งยารักษาโรค เครื่องดื่ม และอาหาร ค่ะ

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • การจัดการด้านอาหารและโภชนาการช่วง 14 วันที่ต้องอยู่บ้าน

    การจัดการด้านอาหารและโภชนาการช่วง 14 วันที่ต้องอยู่บ้าน

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    COVID-19 กินอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เป็นแหล่งของพลังงาน และผลไม้ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

    สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ระบาด ประชาชนควรอยู่ที่บ้าน 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังอาการ นอกจากจะไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นแล้ว ต้องเลือกปรุงและกินอาหารให้เหมาะสม ถูกหลักโภชนาการ โดยกินอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลาย ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ได้แก่ กลุ่มข้าว แป้ง เช่น ข้าวซ้อมมือ เส้นหมี่แห้ง ข้าวเหนียว ซึ่งทำให้อิ่มนานและเก็บไว้ได้นาน อาหารกลุ่มนี้เป็นกลุ่มของคาร์โบไฮเดรตและเป็นแหล่งของพลังงาน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบต่างๆ
    ในร่างกาย และการทำกิจกรรชมในชีวิตประจำวัน ร่วมกับการกินอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

    หลักการเลือกซื้ออาหาร

    1. เลือกรายการอาหารที่ง่าย สะดวกต่อการปรุงประกอบ และมีคุณค่าทางโภชนาการ
    2. ควรเป็นเมนูที่เสียยาก กินง่าย กินได้ทุกเพศทุกวัย เช่น ข้าวสวย ข้าวเหนียว เนื้อสัตว์แดดเดียว/รวน/ ทอดแห้ง เช่น เนื้อแดดเดียว หมูรวน ปลาทอดแห้ง หรือเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น กุนเชียง หมูยอ และไข่ที่ปรุงประกอบด้วยวิธีต่างๆ เช่น ไข่ต้ม ไข่พะโล้ ถั่วเมล็ดแห้ง น้ำพริกต่างๆ กินคู่กับผัก ตบท้ายด้วยผลไม้
    3. การจัดการและดัดแปลงวัตถุดิบที่มีอยู่ เพื่อใช้จัดรายการอาหารให้มีคุณค่าทางโภชนาการยิ่งขึ้น เช่น น าข้าวเหนียวนึ่งผสมกับถั่วต่างๆ (ถั่วเขียว ถั่วดำ) งาขาว งาดำ
    4. เลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อย เช่น ปลาสดต่างๆ หมูเนื้อสัน เนื้อไก่ส่วนอก แช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -18 องศา หรือโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนเกษตร ฟองเต้าหู้ เห็ดหอมแห้ง ถั่วดำถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ซึ่งเก็บไว้ได้นาน
    5. เลือกซื้อผักประเภทหัว เช่น กะหล่ำปลี แครอท บรอกโคลี ฟักทอง เนื่องจากเก็บได้นาน
    6. เลือกซื้อผลไม้สดที่รสไม่หวานจัด เช่น มะละกอสุก แก้วมังกร ฝรั่ง สาลี่ แบบเป็นผลมาปอกกินเอง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรค
    7. เลือกซื้อนมสดรสจืดพร่องมันเนยหรือขาดมันเนยแบบ UHT และดื่มนมวันละ 1 – 2 แก้ว
    8. เลือกซื้อน้ำเปล่าบรรจุขวดมีฝาปิดสนิท และดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อรักษาสมดุลและขับของเสียออกจากร่างกาย

    โดยทั่วไป ในภาวะที่ต้องซื้ออาหารเก็บที่บ้านไว้หลายวัน มักจะเลือกซื้ออาหารที่เก็บไว้ได้นาน เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง อาหารตากแห้ง ไข่เค็ม ปลาเค็ม กะปิ ฯลฯ แต่อาหารที่เก็บไว้ได้นานเหล่านี้ มักเป็นอาหารที่มีการใส่เกลือลงในอาหาร ซึ่งให้โซเดียมสูง อาหารที่มีเกลือ หากกินมากๆ จะทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมมาก เสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง และส่งผลเสีย ต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ นอกจากนี้การใส่ผงชูรส ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมต ก็เป็นแหล่งโซเดียม จึงควรงดการปรุงรสด้วยผงชูรส และการปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรส เช่น ซอสปรุงรส ซีอิ๊วต่างๆ น้ำปลา ซึ่งมีโซเดียมสูงเช่นกัน จึงควรลดปริมาณการใช้ลง ควรเลือกอาหารที่สดใหม่ จะทำให้ได้รสอร่อยโดยธรรมชาติ ยกตัวอย่างการปรุงต้มยำให้มีรสอร่อย อาจใส่เครื่องเทศ เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก เพื่อให้มีรสอร่อยจากเครื่องเทศ แทนรสอร่อยจากเครื่องปรุงรส ท าให้ใส่เครื่องปรุงรสน้อยลง ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนขนมถุง ขนมซอง ขนมขบเคี้ยว ขนมกรุบกรอบทั้งหลาย ก็มีโซเดียมสูง จึงควรหลีกเลี่ยงในการซื้อขนมเหล่านี้มากิน หากกินผลไม้แทนขนม ก็จะทำให้ได้สารอาหาร ที่มีประโยชน์มากกว่า

    วิธีการเก็บอาหาร

    1. ข้าวสารและอาหารแห้งต่างๆ ให้เก็บในที่แห้ง ในภาชนะที่ปิดมิดชิด ระวังมอด มด หนู แมลงสาบ ฯลฯ
    2. ไข่ เก็บในตู้เย็น เอาด้านแหลมลงล่าง ด้านป้านขึ้นบน
    3. เนื้อสัตว์ จ าพวก เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ให้ล้าง แล้วหั่นเป็นชิ้น แบ่งใส่ถุงเป็นมื้อ (ขนาดใช้ 1 ครั้ง) ทำให้แบนเพื่อเพิ่มพื้นที่การเก็บ มัดปากถุงให้แน่น เก็บในตู้เย็นช่องแช่แข็ง
    4. อาหารทะเล เช่น กุ้งสด ปลาหมึกสด ให้ล้าง และตัดส่วนที่ไม่ใช้ทิ้งไปก่อน แล้วแบ่งใส่ถุงเป็นมื้แ (ขนาดใช้ 1 ครั้ง) มัดปากถุง นำไปแช่ในตู้เย็นช่องแช่แข็ง
    5. ผักใบต่างๆ เช่น ผักชี ต้นหอม กะเพรา โหระพา ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์หรือกระดาษซับน้ำมัน แล้วใส่ถุง มัดปากถุงให้แน่น เก็บในช่องผัก เมื่อจะใช้ค่อยนำออกมาล้าง
    6. ผักป ระเภทหัว เช่น แครอท กะหล่ำปลี บอกโคลี ห่อด้วยด้วยกร ะดาษหนังสือพิมพ์
      หรือกระดาษซับน้ำมันเก็บในตู้เย็นช่องเก็บผัก เมื่อจะใช้ค่อยนำออกมาล้าง
    7. เครื่องแกงที่ตำเอง ให้เก็บใส่ถุงและมัดปากถุง โดยแบ่งเป็นส่วนๆ ตามปริมาณที่จะใช้ 1 ครั้ง
    8. ผลไม้ที่มีเปลือกหนา เช่น แตงโม ส้มโอ สามารถเก็บได้นานที่อุณหภูมิห้อง
    9. ผลไม้เปลือกบางและไม่มีเปลือก
       กล้วย เด็ดเป็นลูก เพื่อไม่ให้สุกเร็ว ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ เก็บในตู้เย็นช่องเก็บผัก
       ส้ม แอปเปิล ฝรั่ง สาลี่ ชมพู่ ล้างแล้วเช็ดให้แห้ง ใส่ในถุงกระดาษเจาะรู หรือห่อด้วยกระดาษ ที่ไม่มีลวดลาย เก็บในตู้เย็นช่องเก็บผัก
    10. อาหารที่ไม่จ าเป็นต้องแช่ในตู้เย็นเพราะมีอายุการเก็บนาน ได้แก่ ฟักทอง เผือก มัน มันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ แตงโม น้ำมัน มะเขือเทศ ซอสมะเขือเทศ ของดอง ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นจะทำให้เสียเร็วกว่าอยู่ข้างนอก

    การปรุงประกอบอาหาร

    1. อาหารประเภทผักสด เนื้อสัตว์สด ต้องล้างท าความสะอาดก่อนน ามาปรุง
    2. ก่อนน าเนื้อสัตว์แช่แข็งมาปรุงอาหาร ให้น ามาวางไว้ในช่องธรรมดาก่อนเพื่อให้มีการคลายความเย็น ไม่ควรน าอาหารที่แช่แข็งไปแช่ในน้ าร้อน จะท าให้คุณค่าทางอาหารลดลง
    3. ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงด้วยความร้อน
    4. มีการปกปิดอาหารปรุงส าเร็จ และอาหารพร้อมบริโภคทุกชนิด
    5. ไม่วางอาหารและภาชนะบรรจุอาหารบนพื้นโดยตรง
    6. รับประทานอาหารภายใน 4 ชั่วโมงหลังปรุงประกอบ
    7. ผู้เตรียม/ปรุงอาหารต้องสวมผ้ากันเปื้อนและหมวกคลุมผมและควรมีผ้าปิดปากขณะปรุง ตักอาหาร
    8. ผู้เตรียม/ปรุงอาหารต้องล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมปรุงอาหาร และหลังใช้ห้องส้วม
    9. ผู้เตรียม/ปรุงอาหารไม่ใช้มือหยิบจับอาหารปรุงสำเร็จ

    ข้อแนะนำในการสั่งอาหารนอกบ้าน

    1. ควรเลือกร้านที่สะอาด ได้มาตรฐาน
    2. เลือกเมนูที่ไม่หวานจัด ไม่มันจัด และไม่เค็มจัด
    3. เน้นเมนูอาหารที่ปรุงสุกอย่างทั่วถึง หลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบหรือ สุกๆดิบๆ
    4. ควรอุ่นให้เดือดก่อนกินและเทอาหารที่อุ่นเดือดใส่จานของตนเอง หลีกเลี่ยงการกินอาหารจากถุง หรือกล่องที่ใส่อาหารมาจากร้าน
    5. ไม่กินอาหารจานเดียวกันหรือชุดเดียวกันร่วมกับคนอื่น

    ข้อแนะน าในการสั่งอาหาร delivery

    1. ต้องมั่นใจว่าร้านสะอาด อาหารทำสุกใหม่
    2. เมนูอาหารที่สั่งครบ 5 หมู่ ต้องมีผัก ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็ม
    3. เน้นสั่งเมนู ต้ม แกง นึ่ง อบ น้ าพริกผัก ย่างไม่ไหม้เกรียม
    4. เลี่ยงอาหารทอดน้ำมันลอย เช่น ไก่ทอด มันฝรั่งทอด ทอดมัน ฯลฯ
    5. ถ้าผัดน้ำมันต้องไม่เยิ้ม เช่น ถ้าสั่งผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่เจียว ต้องสั่งว่าไม่เอาน้ำมันเยิ้ม
    6. เลี่ยงอาหารที่บูด เสียง่าย เช่น ลาบ ยำ อาหารที่มีกะทิ ขนมจีน ส้มตำ
    7. สั่งเมนูที่หลากหลาย อย่าสั่งเมนูซ้ำซาก
    8. การรับอาหาร ใส่หน้ากากอนามัย ให้วางอาหารหน้าบ้าน ป้องกันการแพร่เชื้อ
    9. เตรียมเงินพอดี ไม่ต้องทอน หรือโอนเงินผ่านออนไลน์
    10. อาหารที่สั่งทำนานเกิน 3 – 4 ชั่วโมง ก่อนกินควรอุ่นอาหารให้เดือด แต่ถ้าอาหารยังร้อนอยู่ก็ไม่ต้องอุ่น
    11. กินอาหารที่ยังร้อนๆอยู่ และควรเทอาหารลงในภาชนะสะอาดของแต่ละคน
    12. กินจาน/ชามของตัวเอง ไม่ร่วมกับผู้อื่น
    13. ถ้าอาหารที่สั่งไม่มีผัก ต้องกินผักแนม เช่น หมูทอดกระเทียม ข้าวมันไก่ ให้กินคู่กับแตงกวา ผักกาด เขียว มะเขือเทศ ฯลฯ
    14. อาหารที่สั่งไม่มีผลไม้ ให้กินผลไม้หวานน้อยตาม เช่น มะละกอสุก ฝรั่ง

    ทั้งนี้ ช่วงอยู่บ้าน 14 วัน ควรกินอาหารในสัดส่วนที่เหมาะสม ครบถ้วน เพียงพอ และหลากหลาย ลดอาหารหวาน มัน เค็ม บริโภคผักและผลไม้รสไม่หวานจัดเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายให้เหมาะสม จะเป็นรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรค และไม่เจ็บป่วยง่าย

    ขอบคุณข้อมูล กรมอนามัย

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • ต้านมะเร็งเนื้องอก ยับยั้งเชื้อไวรัสสารสกัด 2 พลังมหัศจรรย์

    ต้านมะเร็งเนื้องอก ยับยั้งเชื้อไวรัสสารสกัด 2 พลังมหัศจรรย์

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    ต้านมะเร็งเนื้องอก กลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ให้สารสีส้มในพืช มีฤทธิ์ในการต้านอนูมูลอิสระสูงมากในการป้องกันเส้นเลือดในสมองแตก ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

    สารอาหารกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน กระตุ้นการเผาผลาญ และลดการสะสมไขมันใหม่

    ฟูโคแซนทิน เป็นสารอาหารจากพืช อยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่ให้สารสีส้มในพืช สกัดได้จากสาหร่ายสีน้ำตาล มีฤทธิ์ในการต้านอนูมูลอิสระสูงมาก มีงานวิจัยในสัตว์ทดลองในการป้องกันเส้นเลือดในสมองแตก ต้านอักเสบ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหลายชนิด สิ่งที่น่าสนใจ และเป็นที่เลื่องลือของฟูโคแซนทิน คือ คุณสมบัติในการกระตุ้นการเผาผลาญของเซลล์ และให้พลังงานแก่เซลล์ ทำให้ฟูโคแซนทิน เป็นสารอาหารที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน มีกลไกการออกฤทธิ์ในการกระตุ้นให้ไขมันสีขาวในร่างกาย (White Body Fat) ทำการเผาไขมัน และช่วยให้ค่าเลือดต่างๆ ดีขึ้น โดยเฉพาะค่าการอักเสบของหัวใจ และหลอดเลือด

    ฟูโคแซนทินจะออกฤทธิ์กระตุ้นโปรตีนชนิดหนึ่งในเซลล์ที่ชื่อ ไมโตคอนเดียร ยูซีพีวัน((Mitochondria Uncoupling Protein-1 : UCP1) ซึ่งกระตุ้นการเผาผลาญ และการกำจัดไขมันสีขาวในร่างกาย

    ฟูโคแซนทิน มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไร?

    ฟูโคแซนทิน มีกลไกในการป้องกันการเกิดเซลล์ไขมันเพิ่มขึ้นในร่างกาย ป้องกันไขมันสะสมในเซลล์ โดยที่เมื่อเรากินสารฟูโคแซนทินเข้าไป สารนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นสารชื่อ ฟูโคแซนทินอล (Fucoxanthinol) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันเซลล์ไขมันที่เกิดใหม่ ไม่ให้กลายเป็นเซลล์ไขมันที่โตเต็มวัย และยังไปยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ไปเลี้ยงเซลล์ไขมันด้วย จึงเป็นการป้องกันการเกิดไขมันสะสมตามที่ต่างๆในร่างกาย

    ฟูโคแซนทินปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด และลดค่าการอักเสบในเลือด  ซึ่งให้ผลดีอย่างมากในกลุ่มผู้ป่วยโรคอ้วนลงพุง หรือเมตาโบลิค ซินโดรม เอ็กซ์   

    ฟูโคแซนทินกับมะเร็ง งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ฟูโคแซนทิน มีฤทธิ์ต้านการเกิดเนื้องอก และ มะเร็งหลายชนิด กระตุ้นการฝ่อตายไปเอง (Apoptosis) ของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก เซลล์มะเร็งเต้านม  ทั้งหมดนี้เป็นงานวิจัยในหลอดทดลอง ซึ่งน่าสนใจในการรักษามะเร็งแบบการแพทย์ผสมผสาน

    • น้ำมันเมล็ดทับทิมมีสารสำคัญหลากหลายชนิดได้แก่ พูนิซิก แอซิด (Punicic Acid) โอลิอิก แอซิด (Oleic Acid) ไลโนเลอิก แอซิด (Linoleic Acid) พัลมิติก แอซิด (Palmitic Acid) สเตียริก แอซิด (Stearic Acid) ไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) และ วิตามินอี สารที่มีปริมาณมากได้แก่  อัลฟาไลโนเลนิก แอซิด (Alpha Linolenic Acids) และ พูนิซิก แอซิด (Punicic Acid) ให้ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านอักเสบ ปกป้องหน่วยไต ต้านอาการไตเสื่อม ปกป้องเซลล์ตับ ปกป้องสมอง และระบบประสาท ต้านมะเร็งและเนื้องอก กระตุ้นภูมิต้านทาน เพิ่มการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และลดภาวะดื้ออินซูลิน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และลดการสลายคอลลาเจน ทำให้ผมแข็งแรงขึ้น

    น้ำมันเมล็ดทับทิม มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไร?

    น้ำมันเมล็ดทับทิมต้านไวรัส สารสกัดเมล็ดทับทิม มีกลไกการออกฤทธิ์ในการต้านเชื้อไวรัสหลายชนิด จากสารสำคัญในเมล็ด ได้แก่ Ellagic Acid Caffeic Acid และ Luteolin  ชนิดของไวรัสที่มีงานวิจัยมีดังนี้ Influenza A Virus หรือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H1N1 หรือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 Human Immuonodeficiency Virus (HIV) ที่ทำให้เกิดโรค AIDS Herpes Simplex Virus 1 &2  (HSV-1&2 ) ที่ทำให้เกิดเริมและงูสวัสดิ์บริเวณปาก และใบหน้า และอวัยวะสืบพันธุ์ Adenoviruses ที่ทำให้เกิดโรคหลายแบบ คือ โรคคออักเสบ  โรคตาแดง โรคปอดบวม และอาการท้องเสีย และ Hepatitis C Virus ไวรัสตับอักเสบ C

    น้ำมันเมล็ดทับทิมมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียหลายชนิด ได้แก่ P. aeruginosa เป็นกลุ่มแบคทีเรียที่ทำให้เกิดการติดเชื้อได้หลายประเภท ส่วนใหญ่แล้วมักพบเชื้อชนิดนี้ในคนไข้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำในโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยอาจติดเชื้อจากอุปกรณ์การแพทย์ที่ไม่สะอาด ติดเชื้อจากบุคลากรทางการแพทย์ระหว่างการรักษา การสวมเครื่องช่วยหายใจ สายสวนปัสสาวะ หรือสายน้ำเกลือ และการติดเชื้อเข้ากระแสเลือด S.Aureus  ทำให้เกิดการติดเชื้อบนผิวหนัง แผล ฝี หนอง อาหารเป็นพิษ ข้ออักเสบ และการติดเชื้อเข้ากระแสเลือด E.Coli  ทำให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง Salmonella typhimurium ที่ทำให้เกิดโรคไข้ไทฟอยด์ B. cereus ที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ รวมทั้งยับยั้งเชื้อยีสต์ และเชื้อราด้วย

    สารอาหารอื่นๆ ซึ่งช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

    • โครเมียม เป็นแร่ธาตุหลักในการควบคุมระดับไขมันในเลือด และระดับโคเลสเตอรอลรวมทั้งช่วยเผาผลาญแป้ง และน้ำตาลในเลือด การบริโภคโครเมียม ทำให้ไขมันลดลง และร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น
    • แมงกานีส มีความสำคัญ กับการเผาผลาญไขมัน และโปรตีน และการสร้างกล้ามเนื้อ
    • ซีลีเนียม ลดความอยากอาหาร

    สอบถามข้อมูลสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่ 080 442 3265/092 361 5949

    ขอขอบคุณข้อมูล : Smilecare TDA

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • วันนี้คุณดื่มน้ำมะนาวแล้วยัง!  โดย ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์

    วันนี้คุณดื่มน้ำมะนาวแล้วยัง! โดย ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    วันนี้คุณดื่มน้ำมะนาวแล้วยัง? ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ อดีตคณบดีเเพทย์ศิริราช มะนาว เป็นผลิตผลที่มหัศจรรย์มากที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้

    น้ำมะนาวแช่ใส่น้ำเย็น/โซดา

    ตัดชิ้นบางๆ ของมะนาว ใส่ในแก้วหรือ ในโถเหยือก แล้วดื่ม มันจะกลายเป็นน้ำที่มีความเป็นด่างสูงมาก เชื้อโรคในร่างกาย ไม่สามารถเติบโตในสภาพที่มีความเป็นด่าง ดังนั้น การทานน้ำด่าง จึงช่วยทำลายเชื้อโรค
    ดื่มน้ำด่าง ทั้งวัน ทุกวัน จะทำให้มีสุขภาพดีขึ้นมาก

    มะนาวให้ประโยชน์มหัศจรรย์ ดั่งที่ สถาบันทางวิทยาศาตร์อนามัย ระบุว่า นี่คือ ยาที่มีผลต่อมะเร็งดีเยี่ยม

    มะนาว เป็นผลิตผลที่มหัศจรรย์มากที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้เป็น 1หมื่นเท่า มากกว่า-เคโมเทอราฟี ..

    ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย เพราะว่าปฏิบัติการห้องแล็บส่วนใหญ่นั้น ไม่ยอมพูดเรื่องนี้เลย มันจะทำให้สูญเสียผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไป

    เราท่านทั้งหลายสามารถช่วยเพื่อนท่านได้ ในการบอกให้เขาหรือเธอเหล่านั้น ว่า น้ำมะนาวนั้น มีประโยชน์ยิ่งในการป้องกัน โรคภัยไข้เจ็บ มีรสชาติที่ดี และไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการฉีดคีโมฯ คนมากมายอาจตาย ในขณะที่ความลับที่ป้องกันมะเร็งนี้ได้ถูกเก็บงำเอาไว้ เพื่อไม่ให้ต้องการทำลายผลประโยชน์ นับล้านๆ ของบริษัทยาใหญ่ๆ

    ทราบไหมว่า ต้นมะนาวนี้ (มะนาวแป้น มะนาวทุกชนิด) ท่านจะกินมะนาวเหล่านี้ในวิธีต่างๆก็ได้ เช่น กินเปลือก กินน้ำ หรือคั้น หรือเตรียมเป็นเครื่องดื่มใดๆ ก็ตาม แต่ที่เราชอบ และมันทำได้หลายอย่าง แต่ถ้าดื่มน้ำ มะนาวผสมกับโซดา จะทำให้น้ำมะนาว ดูดซึมเข้าร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ที่น่าสนใจ คือ มันขจัด ซีด (ก้อนเนื้อร้าย) ..

    ผลไม้ชนิดนี้ พิสูจน์แล้ววา สามารถต่อต้านมะเร็งได้ อย่างดีเยี่ยม มีคนกล่าวไว้ว่า
    🍋 มันมีผลประโยชน์ สำหรับมะเร็งหลายชนิด
    🍋 มันป้องกันการอักเสบของเชื้อแบตทีเรีย เชื้อราได้
    🍋 มันสามารถที่จะต่อต้านพาราไซส์ที่อยู่ข้างใน
    🍋 มันทำให้เกร็ดลือดที่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป
    เข้าสู่ภาวะปกติ
    🍋 มันทำให้คลายเครียด
    🍋 ต่อต้านโรคประสาท โรคฟุ้งซ่านได้ด้วย

    ข่าวสารเรื่องนี้หน้าสนใจมาก มันมาจากบริษัทยาใหญ่หลายบริษัทในโลก ซึ่งมากกว่า 20 บริษัทได้ทำการทดลองเรื่องนี้ ผลการทดลองเปิดเผยออกมาได้ว่า 🍋 มะนาวนี้สามารถทำลายมะเร็งเนื้อร้ายที่รุนแรง
    ได้ถึง 12 ชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

    • มะเร็งลำไส้เล็ก
    • มะเร็งเต้านม
    • มะเร็งต่อมลูกหมาก
    • มะเร็งปอด
    • มะเร็งตับอ่อน

    🍋ส่วนผสมของไซทัสหรือมะนาว มีความสามารถในการทำลายมะเร็งได้มากกว่ายาที่ใช้การทำคีโม ทำให้การเจริญเติบโตของเซลมะเร็งนั้นหยุดอยู่กับที่(คงที่)

    นอกจากนี้ 🍋 มันยังเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจมาก การรักษาด้วยมะนาวนี้ สามารถทำลายต่อต้านมะเร็งได้อย่างรุนแรง โดยไม่มีผลข้างเคียง

    ขอขอบคุณต้นฉบับคุณ Natta Patch และผู้นำมาแชร์ค่ะ

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • แครอท ตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสุขภาพที่ดี

    แครอท ตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสุขภาพที่ดี

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    แครอท ป้องกันมะเร็ง ปรับปรุงแก้ไขผิวหนังที่แห้งผาก ตาฝาดและเส้นผมแตก เส้มผมร่วง อีกทั้งยังมีบทบาทในการลดความดันโลหิตอีกด้วยค่ะ

    แครอทอุดมไปด้วยแคโรทีม B มีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็งและยังสามารถเปลี่ยนเปลงเป็นวิตามิน A  ในร่างกายคนเรา ปรับปรุงแก้ไขผิวหนังที่แห้งผาก ตาฝาดและเส้นผมแตก เส้มผมร่วง อีกทั้งยังมีบทบาทในการลดความดันโลหิตอีกด้วยค่ะ

    การเลือกชื้อแครอท

            การเลือกชื้อแครอทต้องเลือกแครอทที่ใหญ่ล่ำสัน ผิวปรากฎเป็นสีส้มอมแดง แวววาวตามธรรมชาติไม่มีรอยแตก ไม่มีจุดด่างดำ

    คุณค่าของแครอท

            แคโรทีน B ที่มีอยู่ในแครอท คือสารลักษณะไขมันละลายชนิดหนึ่ง ดูดน้ำง่าย ด้วยเหตุนี้ ขณะต้มสามารถเติมน้ำลงไปมา เพื่อประโยชน์ต่อการย่อย และการดูดรับของกระเพาะลำไล้หลีกเสี่ยงการเติมน้ำส้ม เพื่อจะได้ไม่ทำลายวิตามินทีมีอยู่ในแครอทค่ะ

    ประโยชน์ของแครอท

            ใบแคร์รอทสามารถป้องกันโรคมะเร็ง ในแคร์รอทอุดมด้วยธาตุเขียวในพืช เส้นใยอาหาร วิตามิน A C  เป็นต้น ในของแคร์รอทอุดมด้วยสิ่งบำรุงร่างกาย สามารถนำไปปั่นรวมกับผลไม้อื่นๆ ได้ค่ะ   แคร์รอทยังอุดมด้วยวิตามิน A สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผิวหนังและเยื่อเหนี่ยว สามารถขัดขวางไม่ให้เชื้อโรคและไวรัสเข้าไปในร่างกายของคนเรา บวกกับวิตามันอื่นๆ ที่มีอยู่ในแคร์รอทจึงสามารถเพิ่มแรงต้านทานโรคในร่างกายคนเราได้ค่ะ

    คุณค่าทางสมุนไพร

             น้ำแครอท ช่วยในการขับปัสสาวะ สารเบต้า-แคโรทีนเป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย อันเป็นประโยชน์ต่อระบบสายตา เช่น โรคตาฟาง รวมทั้งน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ช่วยขับพยาธิไส้เดือนได้อีกด้วย และยังยับยั้งเซลล์ของมะเร็งได้ด้วยไม่ทำให้เกิดเซลล์มะเร็ง ต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี ซึ่งธรรมชาติได้สร้างมาให้มนุษย์เราอย่างเหมาะสมมาก

                และยังสามารถสร้างผิวสวยให้กับคุณได้ น้ำแครอทมีผลต่อสุขภาพผิวเพราะมีคุณสมบัติในการป้องกันและรักษา จึงจะช่วยให้ผิวสดใสดูมีสุขภาพดี สุขภาพผิวที่ดีต้องมาจากสุขภาพภายใน ซึ่งเป็นผลมาจากการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าร่วมกับผัก ผลไม้สด น้ำแครอทจึงนับเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสุขภาพผิวที่เนียมนุ่ม และปราศจากโรค ดังนั้นเราควรหันมาดื่มน้ำแครอทกันเถอะเพื่อสุขภาพที่ดี

    น้ำแครอทเพื่อสุขภาพ

            เเครอท  นำส่วนของรากมารับประทานหรือบางคนเรียกว่าหัว ซึ่งเป็นส่วนที่สะสมอาหารมีคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ด้วยสีของแครอทที่เป็นสีส้มอมแดง จึงนิยมนำมาประกอบอาหาร เช่น ผัด ใส่แกงจืด ทำเป็นส้มตำ ดอง ทำขนม แต่งสีของอาหาร รวมทั้งทำน้ำผักสมุนไพรด้วย

    ส่วนผสม

    • เนื้อแครอท   5 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำน้ำมะนาว   2 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำผึ้ง     1/3 ถ้วยตวง
    • น้ำสะอาด   1 1/2 ถ้วยตวง
    • เกลือ     ½ ช้อนชา

    วิธีทำ

    • 1. นำเครอทมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำลงไปแล้วปั่นให้ละเอียด
    • 2. เติมน้ำผึ้ง น้ำมะนาวเกลือและน้ำ ปั่นให้เข้ากัน
    • 3. ได้น้ำแครอทพร้อมดื่ม

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • ทำไมเราคุม Covid19 ไม่ได้ พร้อมใจ ร่วมมือ พร้อมกันทั้งประเทศ

    ทำไมเราคุม Covid19 ไม่ได้ พร้อมใจ ร่วมมือ พร้อมกันทั้งประเทศ

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    ทำไมเราคุม Covid19 ไม่ได้ การควบคุมโรค ต้องพร้อมใจ ทำพร้อมกันทั้งประเทศ ช่วยกันอีกสักครั้งนะทำแล้วยังไม่สามารถเห็น​ผลใน 3 วัน 7 วัน เราช่วยกัน

    ทำไมเราคุม Covid19 ไม่ได้ มีหลายสาเหตุ

    • หมอรักษาโรคไม่หาย เพราะวินิจฉัยโรคผิด ทำให้วางแผนการรักษา​ผิด โรคจึงไม่หาย
    • การแพร่โรคของ covid19​ ใช้คนเป็นพาหะนำโรค เหมือน รายละเอียดในบทความที่เขียนไว้ตั้งแต่ตอนโรคระบาดใหม่ๆ
    • ยุงลายนำไข้เลือดออก กำจัด ไข้เลือดออก ให้กำจัดยุงลาย ขณะเดียวกัน คน นำโรคcovid19 ก็ให้กำจัดคน (ซึ่ง​เป็น​ไปไม่ได้)….. จึงต้องใช้วิธี ป้องกันไม่ให้คน นำโรคไปติดคนอื่น ซึ่งเป็นมาตรการ ที่ถูกต้องที่สุด ขณะเดียวกัน ก็ป้องกัน ไม่ให้เรารับโรค และ เป็นพาหะ คนถัดไป ที่เราพูดกันถึง วัคซีน สมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของวงจร ที่ไม่ให้โรค สามารถเติบโต​ในตัวเราได้…. แต่เรากลับละเลย หัวใจของการจัดการไม่ให้เราเป็น​พาหะ คือ การป้องกันไม่ให้เราสัมผัส​คนเป็นพาหะ(คนที่เป็น​พาหะนำโรค อาจไม่มีอาการ นี่คือ ความร้ายกาจ​ของ Covid19)
    • ต้องคิดว่า ทุกคนเป็นพาหะนำโรคได้.. ถ้าเราคุมโรคด้วย แผนแม่บท ที่ถูก​ต้อง…เชื้อจะแพ้เรา เพราะมันอยู่ในพาหะได้แค่ 14-29 วัน ถ้าเราไม่ตาย มันก็ตาย
    • การคุมโรค ต้องพร้อมใจ ทำพร้อมกันทั้งประเทศ ทำเป็นหย่อมๆ ไม่สำเร็จ​ เพราะเราไม่รู้จริงๆว่า ใครบ้างรอบตัวเราเป็น​พาหะ-ปีที่แล้วเรายังทำสำเร็จ​เลย ช่วยกันอีกสักครั้งนะครับ…ทำแล้วยังไม่สามารถเห็น​ผลใน 3 วัน 7 วัน นะครับ ตัวเลขจะยังพุ่งอยู่ แต่ถ้ามาตรการ​เราถูก​ มันจะดีขึ้นหลัง 2 สัปดาห์
    • เราไม่ฆ่าพาหะนำโรค แต่เราช่วยกัน หยุดเป็นพาหะนำโรคกันนะครับ

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • ผักต้านมะเร็ง 5 ชนิด ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคมะเร็ง

    ผักต้านมะเร็ง 5 ชนิด ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคมะเร็ง

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    ผักต้านมะเร็งแม้จะเป็นโรคที่รักษายาก เราจะไม่มีวิธีป้องกัน ห่างไกลมะเร็ง ผักต้านมะเร็ง 5 ชนิด ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคมะเร็งได้…

    มะเร็งแม้จะเป็นโรคที่รักษายากบางชนิด…ยังไม่มีตัวยาใดสามารถรักษาให้หายขาดได้แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีวิธีป้องกัน…และเพื่อให้ตนเองห่างไกลมะเร็งร้ายสุขภาพดี…เรามีวิธีต้านมะเร็งแบบง่ายๆที่มาพร้อมกับความอร่อยกับ ผักต้านมะเร็ง 5 ชนิดที่ทานบ่อยๆช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคมะเร็งได้…กินผักครั้งต่อไปจะได้พิจารณาผักต้านมะเร็งเป็นอันดับต้นๆ

    ควรเริ่มหันมาใส่ใจในสุขภาพร่างกายของตัวเองกันมากขึ้นเลือกบริโภคอาหารให้ดีมีประโยชน์ซึ่งผักพื้นบ้านของไทยเรานั้นก็มีส่วนช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งได้ดีเช่นกันซึ่งมีใน5ผักพื้นบ้านดังนี้

    1.มะระขี้นกใครจะคิดว่ามะระลูกเล็กๆ ที่นิยมนำมาลวกทานกับน้ำพริกจะมีวิตามินเอสูงและมีสาระสำคัญที่ช่วยในการต้านเชื้อไวรัสรวมถึงฆ่าเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะมะเร็งเต้านมโรคร้ายที่เป็นภัยกับผู้หญิงนอกจากนี้มะระขี้นกยังมีคุณสมบัติเด่นในการฆ่าเซลล์มะเร็งสมองได้อีกด้วย

    2. ตำลึง ผักริมรั้วสำหรับคนที่อยู่ในชนบทอร่อยทั้งนำมาทำเป็นแกงจืดหรือทานแบบลวกจิ้มกับน้ำพริกตำลึงเป็นผักที่มีวิตามินเอแคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งมีสรรพคุณป้องกันโรคได้หลายชนิดรวมถึงช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย

     3.บัวบก ค่อนข้างเป็นพืชสมุนไพรที่นิยมปลูกเพื่อใช้รับประทานเป็นยาบัวบกมีวิตามินเอวิตามินบี1 และแคลเซียมสูงสารสำคัญในบัวบกคือ “กลัยโคไซด์” ที่ช่วยในเรื่องของผิวพรรณช่วยให้ผิวแข็งแรงและบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดนอกจากนี้สารสกัดจากใบบัวบกล้วนมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการแพร่ขยายของแบคทีเรียช่วยระงับการอักเสบและทำลายเซลล์มะเร็งได้ซึ่งบัวบกสามารถนำไปคั้นเป็นน้ำดื่มหรือจะกินสดเป็นผักเคียงจิ้มน้ำพริกได้ดี

      4.โหระพา เจ้าผักใบเขียวที่เราคุ้นเคยในก๋วยเตี๋ยวเรือรสเด็ดชนิดนี้มีกลิ่นหอมแรงมีคุณค่าทางอาหารและสรรพคุณเป็นยารักษาโรคโหระพาในปัจจุบันนิยมนำมาทำเป็นน้ำมันหอมระเหยน้ำมันโหระพาช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียเชื้อราและเชื้อไวรัสรวมถึงป้องกันมะเร็งได้ดีอีกด้วย

    5.ตะไคร้ ในตะไคร้มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็งทางเดินอาหารในระยะเริ่มต้นเมื่อทราบเช่นนี้แล้วต่อไปคงไม่เขี่ยตะไคร้ซอยที่โรยหน้าอาหารกันอีกแล้วนะเพราะนั่นเป็นประโยชน์ป้องกันมะเร็งล้วนๆ

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • อัมพาตซีกขวา เท่านั้นที่พูดไม่ได้ มีระบบการควบคุมสมอง

    อัมพาตซีกขวา เท่านั้นที่พูดไม่ได้ มีระบบการควบคุมสมอง

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    อัมพาตซีกขวา มีระบบการควบคุม ที่พิเศษ คือ สมองด้านขวาจะคุมร่างกายด้านซ้าย และ สมองด้านซ้าย จะควบคุมร่างกายด้านขวา

            คนอัมพาตหลายคน พูดรู้เรื่องดี สื่อสารได้ดี แต่บางคนพูดไม่ชัด บางคนพูดไม่ได้ พูดไม่เป็นประโยค หรือ เรียงคำพูดไม่ถูก…คนที่พูดรู้เรื่อง คือคนที่เป็นอัมพาต แขนขา ซีกซ้าย ส่วนคนพูดไม่เป็นประโยค เรียงคำพูดไม่ถูก จะเกิดกับเฉพาะ คนเป็นอัมพาตซีกขวาครับ

            ที่เป็นเช่นนี้ เพราะสมองของเรา มีระบบการควบคุม ที่พิเศษ คือ สมองด้านขวาจะคุมร่างกายด้านซ้าย และ สมองด้านซ้าย จะควบคุมร่างกายด้านขวา ถ้ามีอุบัติเหตุ หรือเส้นเลือดตีบ เส้นเลือดแตก ของสมองซีกขวา จะมีการอ่อนแรง ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้ ตลอดจน ชา ของร่างกายซีกซ้าย (ตรงกันข้าม) ในทางกลับกัน หากเกิดปัญหาที่สมองซีกซ้าย ก็จะมีปัญหาของร่างกายด้านขวาครับ

            สมองส่วนที่ดูแลระบบภาษา ของคนเรา หรือ คำพูด หรือ การเรียงประโยค อยู่ที่สมองซีกซ้าย ด้านเดียวเท่านั้น เรียกว่า Broca’s area ซึ่งคนที่เป็นอัมพาต หากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนนี้ได้รับอันตราย หรือสมองส่วนนี้ บาดเจ็บ จะมีปัญหาการพูด บางคนถึงกับพูดไม่ได้ แต่บางคนแค่ พูดไม่เป็นประโยค เรียงประโยคไม่ถูก หรือไม่รู้จะใช้ศัพท์คำไหน

            คนที่เป็นอัมพาตซีกซ้าย ซึ่ง เกิดปัญหากับสมองซีกขวา จะไม่พบปัญหานี้ เพราะส่วนควบคุมภาษาอยู่ในสมองอีกด้านหนึ่ง ซึ่งทำงานปกติครับ

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • HOW TO : ภาวะต่อมหมวกไตล้า โรคยุคใหม่ของคนทำงาน

    HOW TO : ภาวะต่อมหมวกไตล้า โรคยุคใหม่ของคนทำงาน

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    HOW TO การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ บางคนก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการเส้นยึด สะบักเอย หลังเอย กล้ามเนื้อเอย ตามตัว บางรายอาจทำให้มีภาวะซึมเศร้า

    ตื่นเช้าก็ยาก, ตอนกลางวันก็ง่วง, ตอนดึก ๆ หลัง 18.00 เริ่มคึกคัก, ท้องอืดบ่อย, อาหารไม่ค่อยย่อย, ปวดประจำเดือนผิดปกติ, ปัสสาวะบ่อยเกินไป หรือเครียดง่าย อารมณ์แปรปรวน หากคุณมีอาการเหล่านี้เกิน 5 อย่าง อาจสงสัยได้ว่าคุณเป็น “ภาวะต่อมหมวกไตล้า” ไม่ใช่เพราะคุณขี้เกียจแต่อย่างใด

    ภาวะต่อมหมวกไตล้า เป็นอาการผิดปกติของร่างกายอย่างหนึ่งซึ่งเกิดจากการขาดสมดุลฮอร์โมนกลุ่มต่าง ๆ ที่ผลิตจากต่อมหมวกไต แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็น “โรคพร่องต่อมหมวกไต” ซึ่งถ้าอยู่ในภาวะต่อมหมวกไตล้านาน ๆ เข้า จะสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงานได้ เพราะทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร และในบางคนก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการเส้นยึด มีอาการปวดตามจุดต่าง ๆ สะบักเอย หลังเอย กล้ามเนื้อเอย ตามตัว บางรายอาจทำให้มีภาวะซึมเศร้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

    ซึ่งภาวะต่อมหมวกไตล้านี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่โดยรวมเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น การทำงานหนัก พักผ่อนน้อย รับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น ไม่ทานข้าวเช้า, ทานข้าวไม่เป็นเวลา, ทานอาหารประเภทของทอด, ของมัน และน้ำตาลเยอะเกินไป และ ความเครียดจากเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตที่ส่งผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นเครียดจากที่ทำงาน หรือเครียดจากการเจ็บปวด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและใจในระยะยาว หากใครที่คิดว่าตัวเองเข้าค่ายในการเป็นภาวะต่อมหมวกไตล้า แล้วกังวลว่าต้องไปหาหมอหรือไม่ อาจจะไม่จำเป็นเสมอไป แต่ให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตประจำวันของตัวเองดังต่อไปนี้ดูก่อนว่าดีขึ้นหรือไม่ หากไม่ดีขึ้นแล้วจึงค่อยไปปรึกษาแพทย์ก็ได้.

    1.ลดความเครียด พูดง่ายแต่ทำยาก! หลายคนอาจจะบอกมาแบบนี้ แต่เชื่อเถอะว่า มีหลายวิธีที่ทำให้ความเครียดของเราลดลง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย, นั่งสมาธิ การปล่อยวางตัวเองก็ถือว่าเป็นการลดความเครียดได้ด้วยเช่นกัน หรือจะไปท่องเที่ยวสักพักก็ยังไหว ตราบใดที่การท่องเที่ยวนั้นไม่ได้สร้างภาระอื่น ๆ ให้กับตัวเองเพิ่ม

    2.นอนหลับพักผ่อน อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน และไม่ควรเข้านอนหลังเที่ยงคืน! เพราะในช่วงเวลา 4 ทุ่ม – ตี2 เป็นช่วงที่ Growth Hormones หลั่ง ทำให้ร่างกายได้พักผ่อนและซ่อมแซมตัวเองอย่างแท้จริง

    3.ออกกำลังกาย การออกกำลังกายแบบปานกลาง (Moderate intensity exercise) เช่น พวกการ วิ่ง Jogging เดินเร็ว เต้นแอโรบิค ปั่นจักรยาน ที่พอเหงื่อซึม ๆ หายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น โดยที่อัตราการเต้นหัวใจอยู่ที่  50-70 % ของอัตราการเต้นสูงสุด

    4.รับประทานอาหารที่ดี เปลี่ยนวิธีทานอาหาร ทานอาหารที่มีโปรตีน ลดอาหารจำพวกแป้ง พวกข้าวขัดขาวทั้งหลาย และน้ำตาล ทานสารอาหารหรือวิตามินที่ไปเสริมการทำงานของต่อมหมวกไต วิตามินในกลุ่ม DHA, VITAMIN C, VITAMIN B สมุนไพรที่สกัดจากชะเอม หรือเห็ดหลินจือ ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของต่อมหมวกไต และอย่าลืมทานอาหารเช้าด้วย!

    ขอขอบคุณข้อมูล : ธรรมชาติบำบัด

    ติดตามเนื้อหาดีๆ แบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • 39 โรคหายได้ด้วยกัญชา ประโยชน์ของกัญชาทางการแพทย์

    39 โรคหายได้ด้วยกัญชา ประโยชน์ของกัญชาทางการแพทย์

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    39โรคหายได้ด้วยกัญชา ประโยชน์ของกัญชาทางการแพทย์ กัญชาสามารถยับยั้งอารมณ์เกรี้ยวกราดได้ นี่เป็นเพียงบางส่วนเล็กๆ เท่านั้น

    1 กัญชาสามารถหยุดการแพร่กระจายของมะเร็งไม่ให้ลุกลามและกำจัดเซลมะเร็งได้ โดยไม่ทำร้ายหรือสร้างความเสียหายให้กับเซลปกติ
    2 กัญชาสามารถรักษาต้อหิน
    3 กัญชาสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ (thc สามารถยับยั้งเซลล์เอเบตาโปรตีนไม่ให้ผลิตสารพิษที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์)
    4 กัญชาสามารถช่วยลดอาการอักเสบ
    5 กัญชาสามารถควบคุมและรักษาโรคลมชัก
    6 กัญชาสามารถลดความเจ็บปวดจากโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม
    7 กัญชาสามารถรักษโรคโครห์น (Crohn’s Disease) ความผิดปกติเรื้อรังของลำไส้ใหญ่ได้
    8 กัญชาสามารถช่วยควบคุมและรักษาโรคพากินสัน
    9 กัญชาสามารถลดความวิตกกังวล
    10 กัญชาสามารถช่วยในการยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็งและปรับปรุงสุขภาพปอดได้
    11 กัญชาสามารถลดความเจ็บปวดจากเคมีบำบัด
    12 กัญชาสามารถปรับปรุงอาการของโรคลูปัสหรือโรคเอสแอลอี (โรคพุ่มพวง)
    13 กัญชาสามารถช่วยปกป้องสมองจากความเสียหายของโรคหลอดเลือดสมอง
    14 กัญชาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อกระตุก
    15 กัญชาสามารถรักษาโรคลำไส้อักเสบ
    16 กัญชาสามารถช่วยขจัดฝันร้าย
    17 กัญชาสามารถปกป้องสมองจากการถูกกระทบกระแทกและการบาดเจ็บ
    18 กัญชาสามารถช่วยให้เจริญอาหาร
    19 กัญชาสามารถช่วยขยายหลอดลมและลดการหดตัวของหลอดลม
    20 กัญชาสามารถแก้โรคบิด แก้ปวดท้อง และโรคท้องร่วง
    21 กัญชาสามารถช่วยแก้อาการประจำเดือนไม่ปกติของสตรี
    22 กัญชาสามารแก้โรคผิวหนังกลากเกลื้อน
    23 กัญชาสามารถแก้ปวดหัวไมเกรน
    24 กัญชาช่วยรักษาการอุดตันของเส้นเลือดในสมอง
    25 กัญชาสามารถช่วยบำบัดผู้ติดยาเสพติดชนิดรุนแรงเช่นเฮโรอีน
    26 กัญชาสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูงได้ (รักษาเบาหวาน)
    27 กัญชาสามารถช่วยรักษาแผลสด แผลหายยากจากเบาหวาน ให้แห้งและหายได้
    28 กัญชาช่วยทำให้มีอารมณ์เบิกบานแจ่มใสมีสมาธิและจิตใจสงบ
    29 กัญชาสามารถช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อHIVหรือเอดส์ให้สามารถใช้ชีวิตได้ดีขึ้น
    30 กัญชาสามารถช่วยป้องกันโรคตับแข็ง
    31 กัญชาสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
    32 กัญชาสามารถช่วยรักษาอาการกระดูกหักให้หายไวขึ้น และยังทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นด้วย
    33 กัญชาสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความเสียหายของระบบปเส้นประสาททั้งร่างกายและระบบเชื่อมต่อในสมอง
    34 กัญชาสามารถรักษาโรคภูมิแพ้ต่างๆได้
    35 กัญชาสามารช่วยรักษาอาการโรคปลอกประสาทอักเสบหรือโรคเอ็มเอส (MS)
    36 กัญชาช่วยแก้อาการแข็งเกร็งจากอัมพฤกษ์อัมพาตได้
    37 กัญชาสามารถแก้ไข้ผอมเหลือง ไม่มีกำลัง ตัวสั่นได้
    38 กัญชาสามารถรักษาแผลในเซลล์ลำไส้ที่เกิดจาการอักเสบของโรค crohn’s disease ได้ (จาการทดสอบในตาจึงอาจนำไปสู่การใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังจะสูญเสียตาได้อีกด้วย)
    39 กัญชาสามารถช่วยต่อสู้กับโรคลูคีเมียได้

    กัญชาสามารถยับยั้งอารมณ์เกรี้ยวกราดได้ นี่เป็นเพียงบางส่วนเล็กๆเท่านั้นที่กัญชาสามารถทำได้ และโปรดจำไว้ว่า กัญชาเป็นมากกว่ายา..แต่ในฐานะยา.. “กัญชาคือยาที่ปลอดภัยที่สุดในโลก” ..เท่าที่มนุษย์จะหาได้..ในเวลานี้ (กัญชาใช้เป็นยาได้ทั้งมนุษย์และสัตว์) และกัญชายังมีความลับซ่อนอยู่อีกมาก..

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ