Category: Health

Health

  • เป็นมะเร็งไหมครับถ้าผลตรวจเต้านมออกมาเป็นระดับ3

    เป็นมะเร็งไหมครับถ้าผลตรวจเต้านมออกมาเป็นระดับ3

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    – ยุคนี้ คนไข้ สามารถหาความรู้ และ ขอหมอดูข้อมูลผลการตรวจของตนเอง … แต่ส่วนใหญ่ ในเอกสาร เป็นศัพท์แพทย์ และ พอเดาไปเดามา ก็จิตตก คิดว่าตัวเองเป็นมะเร็ง

    -ในการตรวจแมมโมแกรม และ อัลตราซาวด์ รังสีแพทย์จะบรรยายสิ่งที่ตรวจพบโดยละเอียด และ ในตอนท้ายของเอกสารใบอ่านผล จะสรุปประเด็นสำคัญของผลการตรวจ … ในปัจจุบันจะมีตัวพิมพ์หนาๆ เขียนให้รู้ข้อสรุปของผลการตรวจ เป็น “BI-RADS” ย่อมาจาก Breast Imaging Reporting and Data System ซึ่งมีค่าตัวเลข 0-6 … ค่าที่เห็น เป็นเกณฑ์ ผลการอ่านเอกซเรย์ นะครับ ไม่ใช่ ระยะของโรค กรณีที่เป็นโรคมะเร็ง จะมีระยะ หรือ Stage ที่ 1-4 แต่ ใช้ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ

    -เวลาเห็นใบรายงานว่า เป็น BIRADS 3 ไม่ได้บอกว่า เป็นมะเร็งเต้านม ระยะ 3 นะครับ … BIRADS 3 แค่บอกว่า พบร่องรอยบางอย่างที่เกิดขึ้นในเต้านม เช่น มีก้อน มีจุดหินปูน มีรอยเนื้อเต้านมที่ไม่เรียบ แต่ ร่องรอยเหล่านั้น ยังไม่มีลักษณะที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง น่าจะไม่ใช่มะเร็งมากกว่า (probably benign) ซึ่ง Benign คือ ไม่ใช่เนื้อร้าย การเจอ BIRADS 3 โอกาสร่องรอยที่เห็นนั้นเป็นมะเร็งเต้านม น้อยกว่า 2% ครับ ซึ่งไม่ใช่มะเร็งเต้านมระยะ 3 ซึ่งมะเร็งเต้านมระยะ 3 แสดงว่า มีก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ หรือ โรคกกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองจำนวนมาก แต่ยังไม่พบโรคแพร่กระจายที่อื่นครับ

    -บางครั้ง หมอ พูดศัพท์ การแพทย์ มากไป หรือ คนไข้ ค้นหาศัพท์การแพทย์ มากไป โดยที่ไม่เข้าใจ ก็อาจจะทำให้ตกใจ และ กลุ่มใจเกินเหตุนะครับ .. หากมีข้อสงสัย กรุณาซักถามคุณหมอที่ดูแล ให้ชัดเจนไปเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องเก็บมาคิดเองครับ

    Link สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ Facebook : https://kmbydradune.com/?p=2073

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • #ในวันที่ยอมให้คนถือมีดมาปาดบนตัว

    #ในวันที่ยอมให้คนถือมีดมาปาดบนตัว

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    – นึกถึงหนังเรื่อง God Father ในขณะที่ยังมีการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มมาเฟีย ได้เห็นภาพที่ God Father นอนบนเตียงตัดผม ให้ช่างตัดผม ใช้มีดโกนหนวด คมๆ ปาดไปมา เพื่อโกนหนวดเครา … ทำให้ย้อนนึกถึง อาชีพ หมอผ่าตัด ที่ผู้ป่วย ยอมให้หมอ เอามีด กรีด ไปที่บนร่างกาย และ ดูแล อวัยวะต่างๆของตัวเอง

    -ความไว้วางใจ ที่มอบให้ อนุญาตให้ทำอะไรๆ โดยที่ตัวเองไม่มีทางสู้ ถือเป็นความไว้ใจสูงสุด … คนเป็นหมอผ่าตัด ตระหนักเรื่องเหล่านี้ดี และ ต้อง ทำให้สมกับความไว้ใจที่ผู้ป่วยมอบให้ ทำให้ดีตามมาตรฐาน ทำให้ดีตามจรรยาบรรณ .. ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ต้องมายืนถือมีดผ่าตัด

    -เตือนตัวเอง ทุกครั้งที่ ถือมีดผ่าตัด นึกถึงความไว้ใจที่ผู้ป่วยมอบให้ .. ทำให้ดีที่สุดครับ

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • #ไม่เหมาะที่จะใช้เสียง 2 เสียง 3 กับผู้สูงอายุ

    #ไม่เหมาะที่จะใช้เสียง 2 เสียง 3 กับผู้สูงอายุ

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    -“คุณป้า ช่วยเซนต์เอกสารตรงนี้หน่อยนะคะ”

    “ว่าอะไรนะ ให้ทำอะไร”

    “เซนต์อนุญาตตรงนี้”

    “ต้องให้ลูกสาว มา เขาอยู่ไหน”

    -บทสนทนาข้างบน เกิดขึ้น แบบว่า คุณป้า วัย 80+ ฟัง ไม่รู้เรื่อง หรือ ไม่ได้ยินว่าพูดอะไร … ขณะที่เพื่อนอีกคน บอกว่า เมื่อกี๊ เขา ยังเซนต์เอกสารได้เอง ทุกที่เลย .. และ ลองพูดให้คุณป้าเซนต์เอกสาร คุณป้า ก็คุย และ พูดรู้เรื่อง ถึงแม้จะต้องพูดดังหน่อย

    -ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็น สถานการณ์จริง .. ขณะที่ คนหนึ่งพูด คุณป้า ไม่ได้ยิน หรือ ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ เพื่อนอีกคนหนึ่งพูด กลับพูดคุยรู้เรื่อง … ที่เป็นแบบนี้ เพราะ คนแรก เวลาพูด จะติดการพูด เสียง 2 เสียง 3 .. คือมีการพูด เสียงสูง สลับกับเสียงปกติ เป็นระยะๆ .. เป็น เสียงที่บางที เราก็ติดจากโฆษณาทีวี ดู คลิป หรือ พูดกับ เด็กเล็ก พูดกับสัตว์เลี้ยง หรือ เหมือนพยายามเน้น หรือ เรียกความสนใจ .. ทำจน ติดเป็นลักษณะการพูดปกติของคนๆนั้น

    -เสียง 2 เสียง 3 จะมีลักษณะเสียงสูงกว่า ปกติ .. ซึ่งในผู้สูงอายุ จะมีภาวะที่เรียกกันว่าหูตึง คือ ฟังไม่ค่อยได้ยิน ต้องพูดเสียงดังขึ้น และที่น่าสนใจคือ เสียง ที่ได้ยินน้อยที่สุด คือ เสียงความถี่สูง หรือ เสียงแหลม จะได้ยินลดลงกว่า ปกติมากๆ .. และ ภาวะหูตึง ก็เกิดได้เมื่ออายุเยอะขึ้น พบว่า พอถึงอายุ 70 กีมีคนหูตึงมากถึง 70 % และในคนสูงอายุ เสียงสูง จะได้ยินน้อยลง ถึง 50 เดซิเบล ขณะที่ได้ยินเสียงความถี่ต่ำน้อยลง แค่ 20 เดซิเบล คือ ได้ยินเสียงสูง น้อยลง มากกว่า เท่าตัวครับ

    -ดังนั้น เวลาพูดกับผู้สูงอายุ ต้องระมัดระวังตัว ไม่ใช้เสียงสูง ไม่ใช้ เสียง 2 เสียง 3 นะครับ

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • #การลูบคลำเบาๆ ช่วยลดความเจ็บปวด

    #การลูบคลำเบาๆ ช่วยลดความเจ็บปวด

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    -เวลา หน้าแข็งกระแทกโต๊ะ หรือ หกล้ม เรามักจะเห็นวิธีการ เอามือ มาลูบคลำ ถูไปถูมาเบาๆ บริเวณที่ถูกกระแทก พร้อมกับ พูดว่า “โอ๋ๆๆ” แล้วเราก็จะรู้สึกว่าเจ็บปวดน้อยลง

    -มีการทดลองศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยใช้ แสงเลเซอร์ กระตุ้นให้เกิดความเจ็บปวดที่บริเวณท้องแขน 4 บริเวณ ด้วย ความเข้มของแสงเลเซอร์ 2 ระดับ ระดับที่ปานกลาง และ เจ็บปวดมาก เป็นช่วงเวลาสั้นๆ 4 มิลลิวินาที เทียบกับ การกระตุ้นให้เกิดความเจ็บปวดด้วยแสงเลเซอร์ และ เสริมด้วย การสัมผัสเบาๆ (ขนแปรงไนล่อนขนาดเล็ก และ แปรงด้วยหุ่นยนต์ บริเวณรอบๆ จุดที่ยิงเลเซอร์ ห่างจากจุดที่ยิงแสงเลเซอร์ 1 ซม) โดยทดลองใน อาสาสมัคร 8 คน หญิง 5 ชาย 3 ได้รับการกระตุ้น และ สลับ ชนิดของการยิงเลเซอร์ หรือ สัมผัสด้วยขนแปรงเบาๆ โดยที่ไม่ให้อาสาสมัคร รู้ว่า กำลังทำอะไร ด้วยการเปิดเสียงสัญญาณ รบกวน ระหว่างการศึกษา เป็นช่วงๆ ดังรูป

    • จากผลการศึกษาพบว่า ในกรณีที่ มีการสัมผัสเบาๆ อาสาสมัคร จะรับรู้ ระดับความเจ็บปวดลดลง เกือบครึ่งหนึ่ง และ รู้สึกช้าลง และ ความรู้สึกเจ็บปวด น้อยลง จนรู้สึกแค่เหมือนมีการแตะๆ กดๆ เขี่ยๆ ไม่เป็นลักษณะของการเจ็บจี๊ด เหมือนกับ กรณีที่ไม่มีการสัมผัสร่วมด้วย

    -จากการศึกษานี้ จะเห็นว่า การลูบคลำ บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ อย่างที่เราทำกัน อยู่ ตามธรรมชาติ ได้ผล จริง และ ช่วยให้ความเจ็บปวดลดลง (เราทำเองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีคนสอน หรือ ดูจาก ผู้ใหญ่เขาทำกัน และ ได้ผล เลยทำต่อ) … เรื่องนี้ สามารถนำมาปรับใช้ได้ ในเวลาจะเจาะเลือด หรือ ฉีดยาให้เด็ก หรือ คนไข้ ด้วยการลูบคลำบริเวณข้างๆ เบาๆ จะช่วยให้ ความรู้สึกเจ็บปวดลดลงได้ครับ

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • เดินถอยหลังแก้ปวดหลัง-คุณเคยเดินถอยหลังจริงๆไหม

    เดินถอยหลังแก้ปวดหลัง-คุณเคยเดินถอยหลังจริงๆไหม

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    เดินถอยหลังแก้ปวดหลัง แต่เป็นเรื่องจริงทางกายวิภาคและสรีรวิทยา เดินถอยหลังมันไม่เป็นธรรมชาติ มันช้า มันงุ่มง่าม แล้ว เราเดินทำไม

    วันนี้ มาเล่าเรื่องที่ไม่ใช่ abstract หรือ แค่หลักคิด แต่เป็นเรื่องจริงทางกายวิภาคและสรีรวิทยาครับ …. หากลองเดินถอยหลังดู จะรู้สึกว่า มันยากเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทำไม่ได้ ต้องตั้งใจ ตั้งสติ ยกเท้า ก้าว ถ่ายน้ำหนัก และ ยังต้องคอยเหลียวดูข้างหลัง (ผมเคยเดินถอยหลังจนชนรถที่จอดเอาไว้) … เดินถอยหลัง มันไม่เป็นธรรมชาติ มันช้า มันงุ่มง่าม แล้ว เราเดินทำไม

    -ธรรมชาติ สร้างร่างกายเราให้เดินไปข้างหน้าครับ ช้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า พับไปทางเดียว เช่น ข้อเข่าพับไปข้างหลัง เหยียดไปข้างหน้าได้ไม่เกิน 180 องศา ถ้าไปไกลกว่านั้นต้องใช้ข้อสะโพกช่วยทำแทนครับ ตาของเราก็มีไว้มองไปข้างหน้า คอเราก็บังคับตาให้มองไปข้างหน้า … แล้วเดินถอยหลัง ได้อะไร ทำให้แก้ปวดหลังได้จริงหรือครับ

    -เวลาเราเดินไปข้างหน้า กล้ามเนื้อต่างๆ ของร่างกายตั้งแต่ ศีรษะ จรดเท้าต้องช่วยกันทำงานครับ เพราะทุกๆครั้งที่ยกเท้าขึ้นพ้นพื้น เท้าอีกข้างหนึ่ง ลำตัว หัวไหล่ ต้อง พยุงให้เราทรงตัวได้ไม่ล้มลง ก่อนที่จะรอให้เท้าที่ยกพ้นพื้นไปรับน้ำหนัก และ ทำหน้าที่แทน การเดินจึงไม่ใช่เพียงแค่การทำงานของ เข่า ต้นขา และ เท้า แต่เป็นการทำงานประสานกันทั้งร่างกาย … แต่ในภาวะปกติ ที่ถูก โปรแกรมให้ทำซ้ำๆ กัน ทุกวันๆ กล้ามเนื้อมัดหลักๆ จะแข็งแรง และ พาร่างกายให้เคลื่อนที่ไปได้ แต่ กล้ามเนื้อมัดเล็กๆ ที่อยู่ตามแกนของลำตัว ก็แค่ประคอง ให้มีการทรงตัวอยู่ได้ คอย ติดตาม และ พยุงตาม … หลายครั้ง เวลาเราเดิน หรือทำกิจกรรม กล้ามเนื้อใหญ่ ก็ไม่ได้รอจังหวะให้กล้ามเนื้อเล็กพร้อม ขยับไปก่อนเลย กล้ามเนื้อเล็กๆ ก็ถูกลากไป และ เกิดการบาดเจ็บ โดยที่กล้ามเนื้อใหญ่ที่ใช้ในการเดินไม่ได้ใส่ใจ หรือ ลืมสนใจ … การบาดเจ็บนี้ กล้ามเนื้อเล็ก ก็ทนเอา จนกระทั่งวันหนึ่ง ทนไม่ไหว ไม่ยอมขยับ เกิดอาการเจ็บปวดทุกครั้งที่ขยับ เราจึงเพิ่งตระหนักว่า ปวดหลัง ปวดเอว

    -ไม่ใช่ความผิดของกล้ามเนื้อใหญ่นะครับ แต่ เป็นการประสานงานที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้น ร่างกายเราจึงต้องการการบริหาร การบริหาร คือการซ้อมการประสานงาน สามารถซ้อมไป ทำงานไป (on the job training) กล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ล้วนมีความสำคัญ และ สามารถ ช่วยกันทำงานได้ครับ แต่ต้องการการซ้อม การประสานงาน การเดินไปข้างหน้าตามปกติ แบบเร็วๆ บางครั้ง ก็ลืมดูกัน ดังนั้น การเดินถอยหลัง เป็นการย้อนจังหวะการทำงานทุกอย่าง ที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ มีเวลาที่กล้ามเนื้อมัดต่างๆ จะได้เรียนรู้ว่า กล้ามเนื้อมัดอื่น เขาทำอะไรอยู่ ช่วยอะไรเราอยู่ เรียนการทำงานร่วมกัน … เวลาเดินถอยหลัง จะเปลี่ยนคิว การส่งมอบงาน ก่อนหน้านี้ เคยรอรับงานจากเขา ตอนนี้ กลายเป็นกล้ามเนื้อนั้นส่งมอบจังหวะให้เขาทำต่อ หรือ ในทางกลับกัน ก่อนหน้านี้ เคย สั่ง และ ส่งงานต่อให้เขา ตอนนี้ ต้องกลับมารับงานต่อจากเขา … เป็นการฝึกฝนแบบหนึ่ง ฝึกระบบประสาท และ สมองด้วยครับ ….. ในจังหวะนี้ เอง ทำให้การส่งต่องานระหว่างกล้ามเนื้อมัดใหญ่กับมัดเล็กดีขึ้น ในการเดินปกติครั้งถัดไป จะเกิดการบาดเจ็บน้อยลง การปวดหลังก็น้อยลงครับ

    -ร่างการเรามหัศจรรย์ เรามีเรื่องที่เรียนรู้จากร่างกายเราได้มากมายเลยครับ … แม้แต่ในชิวิตการทำงาน การลองเปลี่ยนบทบาทกันบ้าง จะทำให้เราเข้าใจกันและกันได้ดีขึ้นครับ

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • #ดื่มชาอะไรดี  ชาที่คนนิยมดื่มจากทั่วทุกมุมโลก ดื่มแล้วลดชื่น

    #ดื่มชาอะไรดี ชาที่คนนิยมดื่มจากทั่วทุกมุมโลก ดื่มแล้วลดชื่น

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    ดื่มชาอะไรดี ชาที่คนนิยมดื่มจากทั่วทุกมุมโลก ดื่มแล้วลดชื่น ผลที่เกิดจากการหมักนอกจากเรื่องสีแล้ว ซึ่งเกิดจากการมีสาร tannin Polyphenols

    #ดื่มชาอะไรดี
    – เด็กๆไม่ควรดื่มน้ำชากาแฟ… ดื่มชาแล้วท้องผูก… ชาเขียวดื่มแล้วลดชื่น …กินติ๋มซำ กินของมันๆ ดื่มชาจะดี ดับมัน… ดื่มชาแล้วชุ่มคอ ….. เรื่องราวเกี่ยวกับชา มีมากมาย ชื่อของชาก็มีมากมาย ที่ได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ ชาเขียว ชาอูหลง ชาจีน ชาEnglish breakfast ฯลฯ แล้วจริงๆ เราควรดื่มชาอะไรดี
    – ถ้าไม่นับชา ผลไม้ หรือ ชาสมุนไพรต่างๆ พูดกันเฉพาะชา ที่มาจากต้นชาจริงๆ 茶 Camellia sinensis. ก็มีมากมาย … ต้นชา มีแหล่งปลูกอยู่ที่ จีนตอนใต้ เอเชียอาคเนย์ อินเดีย ส่วนที่มีชาในอังกฤษ เพราะ นำไปจากอินเดีย… การเรียกชื่อชา ที่เราเคยได้ยิน มีวิธีการเรียกหลายแบบ กลุ่มหนึ่งเรียกตามวิธีการเตรียมใบชา เช่น ชาเขียว ชาขาว ชาอูหลง อีกกลุ่มหนึ่ง เรียกตามพันธุ์ของชา แหล่งปลูกและสูตรผสม เช่น ชาหลงจิ่ง ชาเจียวกู่หลาน ชาDarjaring ชาEarl Grey ฯลฯ
    – ชาส่วนใหญ่จะมีส่วนของน้ำมันหอมระเหยที่ทำให้มีกลิ่นหอมเฉพาะ และ ชาเกือบทุกชนิดจะมีส่วนผสมของ คาเฟอีน คล้ายกาแฟ จึงทำให้เวลาดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น แต่จะมี คาเฟอีน มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับ พันธุ์ของชา ฤดูและเวลาที่เก็บ วิธีการเตรียบใบชา และ การชง(ชงที่อุณหภูมิของน้ำ 85 องศา จะมีคาเฟอีนออกมามากที่สุด) …. ชาสีเข้ม ไม่ได้แปลว่ามี คาเฟอีนมากกว่าชาเขียว หรือ ชาขาว… ชาสีเข้ม เกิดจากขั้นตอนการนำชา ไปหมัก ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง oxidation คือให้สารเคมีในชาสัมผัสทำปฏิกริยากับ ออกซิเจน ยิ่งมีช่วงของการทำปฏิกริยานาน จะยิ่งมีสีเข้มขึ้น ส่วนในกลุ่ม ชาเขียว ชาชาว และ ชาเหลือง จึงเป็นชาที่เตรียมโดยไม่ได้หมัก จึงไม่มีสีเข้มเหมือนชาอูหลง และ ชาดำ หรือ ชาแดง
    – ผลที่เกิดจากการหมักนอกจากเรื่องสีแล้ว ยังมีความมีรสฝาดของชา ซึ่งเกิดจากการมีสาร tannin(Polyphenols) จากปฏิกริยา oxidation ชาสีเข้มจึงมีรสฝาด และ ทำให้ท้องผูก
    – ส่วนชาจะมีรสชาติกลมกล่อมแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับ พันธุ์ แหล่งปลูก และ วิธีเตรียม ว่าสามารถเก็บรักษารสชาติของชาได้ดีแค่ไหน ต้อง ศึกษา และจดจำกันเลยทีเดียว เหมือนคนดื่มเหล้า ดื่มไวน์ ดื่มกาแฟ อย่างไรอย่างนั้น… แต่ถ้าดื่มชาสีเข้ม จะมีรสฝาด และติดในลำคอ รวมถึงท้องผูกได้ครับ ดูน้อยลง

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • สมุนไพรไทย อร่อยและช่วยต้านโรคต้านมะเร็ง สร้างภูมิคุ้มกันโรค

    สมุนไพรไทย อร่อยและช่วยต้านโรคต้านมะเร็ง สร้างภูมิคุ้มกันโรค

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    สมุนไพรไทย ผัก 5 ชนิด พื้นบ้านสมุนไพร วิธีต้านมะเร็งแบบง่ายๆ ที่มาพร้อมกับความอร่อยกับ ผักต้านมะเร็ง 5 ชนิดช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคมะเร็งได้

            มะเร็งแม้จะเป็นโรคที่รักษายากบางชนิด…ยังไม่มีตัวยาใดสามารถรักษาให้หายขาดได้แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่มีวิธีป้องกัน…และเพื่อให้ตนเองห่างไกลมะเร็งร้ายสุขภาพดี…เจอนี่เจอนั่น วันนี้เรามีวิธีต้านมะเร็งแบบง่ายๆที่มาพร้อมกับความอร่อยกับ ผักต้านมะเร็ง 5 ชนิดที่ทานบ่อยๆช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันโรคมะเร็งได้…กินผักครั้งต่อไปจะได้พิจารณาผักต้านมะเร็งเป็นอันดับต้นๆ

            ควรเริ่มหันมาใส่ใจในสุขภาพร่างกายของตัวเองกันมากขึ้นเลือกบริโภคอาหารให้ดีมีประโยชน์ซึ่งผักพื้นบ้านของไทยเรานั้นก็มีส่วนช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งได้ดีเช่นกันซึ่งมีใน 5 ผักพื้นบ้านดังนี้

    1. มะระลูกเล็ก

            ใครจะคิดว่ามะระลูกเล็กๆที่นิยมนำมาลวกทานกับน้ำพริกจะมีวิตามินเอสูงและมีสาระสำคัญที่ช่วยในการต้านเชื้อไวรัสรวมถึงฆ่าเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะมะเร็งเต้านมโรคร้ายที่เป็นภัยกับผู้หญิงนอกจากนี้มะระขี้นกยังมีคุณสมบัติเด่นในการฆ่าเซลล์มะเร็งสมองได้อีกด้วย

    2. ตำลึง

            ผักริมรั้วสำหรับคนที่อยู่ในชนบทอร่อยทั้งนำมาทำเป็นแกงจืดหรือทานแบบลวกจิ้มกับน้ำพริกตำลึงเป็นผักที่มีวิตามินเอแคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งมีสรรพคุณป้องกันโรคได้หลายชนิดรวมถึงช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย

    3.บัวบก

            ค่อนข้างเป็นพืชสมุนไพรที่นิยมปลูกเพื่อใช้รับประทานเป็นยาบัวบกมีวิตามินเอวิตามินบี1 และแคลเซียมสูงสารสำคัญในบัวบกคือ “กลัยโคไซด์” ที่ช่วยในเรื่องของผิวพรรณช่วยให้ผิวแข็งแรงและบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดนอกจากนี้สารสกัดจากใบบัวบกล้วนมีสรรพคุณช่วยยับยั้งการแพร่ขยายของแบคทีเรียช่วยระงับการอักเสบและทำลายเซลล์มะเร็งได้ซึ่งบัวบกสามารถนำไปคั้นเป็นน้ำดื่มหรือจะกินสดเป็นผักเคียงจิ้มน้ำพริกได้ดี

    4.โหระพา

            เจ้าผักใบเขียวที่เราคุ้นเคยในก๋วยเตี๋ยวเรือรสเด็ดชนิดนี้มีกลิ่นหอมแรงมีคุณค่าทางอาหารและสรรพคุณเป็นยารักษาโรคโหระพาในปัจจุบันนิยมนำมาทำเป็นน้ำมันหอมระเหยน้ำมันโหระพาช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียเชื้อราและเชื้อไวรัสรวมถึงป้องกันมะเร็งได้ดีอีกด้วย

    5.ตะไคร้

            ในตะไคร้มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็งทางเดินอาหารในระยะเริ่มต้นเมื่อทราบเช่นนี้แล้วต่อไปคงไม่เขี่ยตะไคร้ซอยที่โรยหน้าอาหารกันอีกแล้วนะเพราะนั่นเป็นประโยชน์ป้องกันมะเร็งล้วนๆ

             ไม่น่าเชื่อนะคะว่าผักต้านมะเร็งทั้ง 5 ชนิด จะเป็นผักที่เราคุ้นเคยกันดี และมีให้ทานง่ายแสนง่าย เพียงแค่เราหาเมนูที่มีผักเหล่านี้ เป็นส่วนผสม หรือนำมามาทานเป็นเครื่องเคียง เพียงเท่านี้ ก็เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง ให้ห่างไกลมะเร็งร้ายกันได้อีกขั้นแล้วละค่ะ

    ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • #บางครั้งเราก็ไม่รู้เหตุผล บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune

    #บางครั้งเราก็ไม่รู้เหตุผล บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    ปรากฏการณ์ที่ทำให้ Covid19 ในขาลง ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็น ผลจากวัคซีน จากการป้องกันตนเอง หรือ จากเชื้อมันอ่อนลงหรือเป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติ

    บทความ บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune

    -หลายครั้งที่ผลของงานออกมาดี เราไม่รู้ว่าเพราะดวง โชคช่วย หรือว่าฝีมือเรา-ปักตะไคร้ แห่นางแมว แล้วฝนตก ก็ไม่รู้ว่าเพราะความบังเอิญ หรือ สิ่งที่เราทำมีผลกับ การที่ฝนตก-เรื่อง Covid19 ที่ช่วงนี้ เป็นขาลง เราพบผู้ป่วยน้อยลงหลังจากขึ้น peak ขึ้นสูงสุด และ ปรากฏการณ์นี้ ก็พบในทุกประเทศ เพียงแต่จุดสูงสุดของแต่ละประเทศต่างกัน ซึ่งเมื่อคนไข้ลดลง ก็จะลดดิ่งเหมือนกันเกือบทุกประเทศ …. เพียงแต่บางประเทศ มียอดสูงขึ้นไปใหม่ อีกเล็กน้อย แล้วก็ลดลง-เราไม่รู้ว่า ปรากฏการณ์ ที่ทำให้ Covid19 ในขาลง ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็น ผลจาก วัคซีน จากการป้องกันตนเอง หรือ จากเชื้อมันอ่อนลง(หลังจากแบ่งตัวไปหลายๆรอบ) หรือจากการที่ผู้ป่วยเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้รวดเร็วขึ้นทำให้ได้รับการรักษา โอกาสแพร่เชื้อน้อยลง … หรือ ไม่เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด เป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติ

    -ที่บอกว่า Covid19 ที่ลดลง อาจจะไม่ใช่ผลของวัคซีน เพราะข้อมูลบอกว่า วันที่การระบาดลดลงในอเมริกาและอิสราเอล การฉีดวัคซีนในประเทศแม้แต่เข็ม 1 ก็ยังไม่ถึง 5% ส่วนการ lock down และ มาตรการเข้มข้น ก็หาตัววัดยาก ที่เห็นตัวอย่างและวัดได้ ก็คงในประเทศจีน ครั้งประเทศ ที่ lock down ด้วยความเข้มข้นต่างกัน ก็วัดยากว่า ผลการ lock down มากแค่ไหนจะได้ผล แค่ไหนจะไม่ได้ผล ส่วนเรื่อง ยา และ การเข้าถึงการรักษาเร็ว และ ครอบคลุม ก็ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาทางการแพทย์มายืนยัน มีแต่รายงานเล็กๆ จากประเทศไทย ว่า คนที่ได้ยาเร็ว การหายป่วยจาก ICU ได้เร็วกว่า … เรื่องดวง ยังแล้วใหญ่ ไม่มีอะไรมาวัด และช่วงนี้ หมอดูก็ไม่กล้าออกมาทำนายทายทัก เพราะกลัวเสียรางวัด เสียมวย เสียหมอ

    -เมื่อไม่รู้ว่า อะไร เป็นหัวใจสำคัญของการได้ผล สิ่งที่ทำได้ คือ ทำมันทุกอย่าง เหมือนที่ทุกวันนี้ เรายังมีการแห่นางแมว และ ปักตะไคร้ … จนกว่าเราจะรู้ว่า อะไรที่ได้ผลที่สุด เราจะได้เลือกทำในสิ่งที่ต้นทุนน้อย และ ได้ผลเยอะ … ถ้าเทียบกับ ในยุคแรกๆ ที่คนจีนค้นพบดินระเบิด ก็ใช้แค่ทำให้หินแตกออกมา ง่ายต่อการนำไปใช้ ถัดมาเมื่อควบคุมได้ ก็บังคับให้เป็น พลุ และ ดอกไม้ไฟ เมื่อพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง ก็เป็นปืนใหญ่ สำหรับการต่อสู้กัน ประเทศทางโลกตะวันตก ก็นำไปพัฒนาต่อเป็น ปืน จากปืนยาว ก็เป็น ปืนสั้น เป็นปืนกล … การต่อสู้กับ Covid19 ปัจจุบัน เราก็เริ่มมีความรู้แล้ว แต่การบังคับ หรือ การกำกับ การใช้ความรู้ในการต่อสู้กับโรค ยังไม่มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงจำเป็นต้องทำกันแต่ทุกมาตรการต่อไป (ทั้งที่ความจริง อาจจะต้องใช้ ทุกมาตรการในสัดส่วนที่เหมาะสมก็ได้ครับ

    -ทำทุกเรื่องไปก่อนนะครับ ฉีดวัคซีน ป้องกัน (universal precaution) และ รีบเข้ารับการรักษาhttps://www.facebook.com/102927826723871/posts/1527341650949141/

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • “ขมิ้นชัน” สมุนไพรไทย คุณค่าโภชนาการรักษาโรค

    “ขมิ้นชัน” สมุนไพรไทย คุณค่าโภชนาการรักษาโรค

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ


    ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรไทยยอดนิยมที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณค่าทางโภชนาการ คนโบราณมักนำขมิ้นชันมาประกอบอาหาร เพราะมีวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

    ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรยอดนิยมที่มีสรรพคุณทางยา และมีคุณค่าทางโภชนาการ คนโบราณมักนำขมิ้นชันมาประกอบอาหาร เพราะมีวิตามินเอ ซี และอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดไขมันในตับ ป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร และทำความสะอาดลำไส้ นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ รวมทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายอีกด้วย 

    แต่การกินขมิ้นชันเพื่อให้ได้ผลดีนั้น ควรกินให้ตรงกับเวลาที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงาน ซึ่งจะให้ผลในด้านการบำรุงรักษา รวมทั้งแก้ไข และฟื้นฟูระบบของอวัยวะนั้นๆ เรียกว่า กินถูกเวลาก็รักษาถูกโรค ดังนี้ 

     เวลา 03.00 – 05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด การกินขมิ้นชันในช่วงเวลานี้จึงช่วยบำรุงปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง รวมทั้งช่วยในเรื่องภูมิแพ้ และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง 

     เวลา 05.00 – 07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ การกินขมิ้นชันในช่วงเวลานี้เป็นประจำจะช่วยฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ ช่วยให้บีบรัดตัวเพื่อให้การขับถ่ายเป็นปกติ 

     เวลา 07.00 – 09.00 น. เป็นเวลาของกระเพาะอาหาร ขมิ้นชันที่กินในเวลานี้จะช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารซึ่งเกิดจากการกินข้าวไม่ตรงเวลา ท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง ปวดเข่า ขาตึง รวมทั้งช่วยบำรุงสมองและป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ด้วย 

     เวลา 09.00 – 11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม การกินขมิ้นชันในเวลานี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลที่ปาก อ้วนหรือผอมเกินไป รวมทั้งช่วยลดอาการของโรคเกาต์ และอาการของเบาหวานได้ 

     เวลา 11.00 – 13.00 น. เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องหัวใจ เพราะขมิ้นชันจะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ส่วนใครที่กินเลยเวลา 11.00 น.ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับ ปอดและผิวหนัง ตามลำดับ จึงควรกินขมิ้นชันในปริมาณมากสักหน่อยจึงจะช่วยดูแลระบบต่างๆ ตามที่กล่าวมาได้อย่างทั่วถึง 

     เวลา 13.00 – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก การกินขมิ้นชันในช่วงเวลานี้จะช่วยแก้ปัญหาอาการปวดท้องที่มีสาเหตุมาจากไขมันเกาะลำไส้เล็ก ซึ่งทำให้เกิดแก๊ส และอาการปวดท้องตามมา 

     เวลา 15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ขมิ้นชันที่กินในช่วงเวลานี้จะช่วยดูแลให้หูรูดของกระเพาะปัสสาวะแข็งแรง รวมทั้งแก้ปัญหาเรื่องตกขาวในสตรีช่วงเวลานี้หากมีกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกได้จะดีมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุด 

    สำหรับช่วงเวลาอื่นๆ หลังจากนี้ไปจนถึงการกินก่อนเข้านอน ขมิ้นชันจะช่วยในเรื่องของความจำ เมื่อตื่นนอนตอนเช้าจะไม่รู้สึกอ่อนเพลีย และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น นอกจากนี้การกินขมิ้นชันในปริมาณมากๆ ยังช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังซึ่งเป็นสาเหตุของอาการผดผื่นคัน และยังช่วยขับไขมันในตับได้ดีอีกด้วย..

    ข้อมูล : ธรรมชาติบำบัด


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ
  • หัวไช้เท้า สรรพคุณช่วยเผาผลาญในร่างกายต้านอนุมูลอิสระ

    หัวไช้เท้า สรรพคุณช่วยเผาผลาญในร่างกายต้านอนุมูลอิสระ

    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

    หัวไช้เท้า อนุมูลอิสระมาจากรังสี ควันรถ บุหรี่ และเกิดจากการเผาผลาญในร่างกายเราคอยช่วยกำกับไม่ให้ อนุมูลอิสระ ทำร้าย เซลล์ของร่างกาย

           สมัยเด็กๆ ได้ยินคุณพ่อพูดเสมอๆ ว่า เวลาออกไปข้างนอกกลับมา ควันรถเยอะ ให้กิน ไช้เท้า (หัวผักกาด) ล้างพิษ….ก็ฟัง และกิน เพราะรู้สึกว่าอร่อย และกินแล้วสบายตัว … เพิ่งมารู้ว่าไช้เท้า (white radish) มีสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณสูงมาก
           เราเคยรู้ว่า อนุมูลอิสระ Free radical เป็นสิ่งที่สามารถทำลายเซลล์ได้ โดย อนุมูลอิสระมาจาก รังสี ควันรถ บุหรี่ และเกิดจากการเผาผลาญในร่างกายเรา โดยที่ร่างกายเรามีระบบป้องกัน โดยมีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คอยช่วยกำกับไม่ให้ อนุมูลอิสระ ทำร้าย เซลล์ของร่างกาย…ซึ่งสารด้านอนุมูลอิสระ มีอยู่ในวิตามินและผัก ต่างๆ ถั่ว ตับ เนื้อสัตว์ และสารบางอย่างที่ร่างกายผลิตขึ้น

      ด้วยความกลัวพิษจากอนุมูลอิสระ จึงมีความพยายาม หาสารต้านอนุมูลอิสระทั้งกิน และฉีด ซึ่งมีข้อมูลทางวิทยาศาสคร์ว่า สารสังเคราะห์ที่เรารับเข้าไป หากได้ปริมาณที่ไม่พอเหมาะ กลับจะเป็นอันตรายกับร่างกายได้
           การกินสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในธรรมชาติ จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ซึ่งได้ประโยชน์ และไม่มีโทษ…พอเราอ่านตำราต่างๆ ก็มักจะพูดถึงแต่ผัก ผลไม้ของฝรั่ง เช่น บร็อคเคอรี่ ราสเบอรี่ ฯลฯ ซึ่งก็มักจะแพง หรือ หายาก…เราไม่รู้เลยว่า ไขเท้า ซึ่งเราหาง่าย ราคาถูก มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

           จากตาราง พบว่า กระเทียม และขิง มีสารต้านอนุมูลอิสระ เทียบ่ต่อน้ำหนัก สูงกว่าไช้เท้า ประมาณ 3-5 เท่า…นี่เองเป็นเหตุที่ทำให้พอคนมองหา สารต้านอนุมูลอิสระก็พูดถึงการกินกระเทียมว่าดี โดยลืมนึกไปว่า เวลาเรากินกระเทียม เรากินได้ทีละน้อย ขิงก็เช่นกัน เราก็กินได้ทีละน้อย แถมราคาแพงอีกต่างหาก…ขณะที่ไช้เท้า ถึงแม้เทียบต่อน้ำหนัก จะมีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่า กระเทียมและขิง แต่ก็จัดเป็นพืชผัก ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูงมาก มีสาร Phonolic ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี ในปริมาณสูงมาก เวลาเรากินไช้เท้า เรากินมากกว่า กระเทียม และขิง หลายสิบเท่า และเราก็หากินได้ง่ายกว่า บร็อคเคอรี่ หรือ ราสเบอรี่ และราคาถูกกว่าด้วย
           มากิน ไช้เท้า_สารต้านอนุมูลอิสระราคาถูก กันเถอะครับ

    ขอขอบคุณข้อมูล : บันทึกเรื่องน่ารู้ by dr.adune


    ช่วยแชร์ด้วยนะคะ