โควิด-19 การจัดการความเหลื่อมล้ำจากวิกฤตโควิด

ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

โควิด-19 ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังเผชิญผลกระทบทางด้านสังคมและเศรษฐกิจได้รับผลกระทบที่เรื้อรังของไทยในทุกมิติ

  • ภาคภูมิ จตุพิธพรจันทร์
    ไตรสรณ์ ถีรชีวานนท์
  • สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

แม้ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับต้นๆของโลกแต่ก็ยังเผชิญผลกระทบทางด้านสังคมและเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุดในรอบหลายปีประชาชนทุกภาคส่วนไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เพศใด รวยหรือจนล้วนได้รับผลกระทบกันหมด แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อกลุ่มคนจนและผู้ด้อยโอกาสมีความรุนแรงมากกว่า วิกฤตโควิด-19 จึงตอกย้ำความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาเรื้อรังของไทยให้มีความรุนแรงมากขึ้นในทุกมิติ

ตัวอย่างเช่น ในช่วงโควิด-19 หลายบริษัทได้ทำการปรับรูปแบบการทำงานมาเป็นการทำงานในรูปแบบทางไกลแต่คนจนและกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะระดับต่ำหรือทักษะระดับกลางมักประกอบอาชีพในภาคธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องทำงานณสถานประกอบการเช่นธุรกิจบันเทิงธุรกิจท่องเที่ยวธุรกิจอุตสาหกรรมหรือแม้ทำงานในธุรกิจที่สามารถทำงานทางไกลได้ แต่คนจนที่มีรายได้น้อยมักมีความไม่พร้อมด้านทักษะเทคโนโลยีดิจิทัลหรือการขาดเครื่องมืออุปกรณ์[1]ทำให้แรงงานกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการตกงานและรายได้ลดลงมากกว่ากลุ่มอื่น

นอกจากได้รับผลกระทบแรงกว่าแล้ว คนจนและกลุ่มเปราะบางมักมีความสามารถในการรับมือกับการขาดรายได้น้อยกว่าคนกลุ่มอื่นกล่าวคือมีเงินออมสะสมน้อยกว่ามีความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบน้อยกว่าการเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐก็เป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง[2]ทำให้คนจนและกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักอาจจะต้องขายสินทรัพย์หรือก่อหนี้สินเพิ่มขึ้น[3]วิกฤตโควิดจึงได้เพิ่มความเสี่ยงให้คนที่จนอยู่แล้วสินทรัพย์หดหายรายได้ลดลงและทำให้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้รุนแรงขึ้น

นอกจากความเหลื่อมล้ำทางรายได้จะสูงขึ้นแล้วความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาก็สูงขึ้นด้วยคนจนและกลุ่มเปราะบางเป็นกลุ่มที่ขาดความสามารถในการเรียนทางไกลเนื่องจากขาดอุปกรณ์ขาดอินเทอร์เน็ตที่ดีและสถานที่อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียน[3]พ่อแม่ก็มักไม่พร้อมหรือไม่มีศักยภาพในการสอนหรือร่วมทำกิจกรรมกับลูกที่บ้านและในบางกรณีที่พ่อแม่ขาดรายได้รุนแรง เด็กก็อาจต้องพักการเรียนเพื่อไปช่วยหารายได้อีกด้วย

ผลกระทบทางด้านสุขภาพต่อคนจนก็มากกว่าคนรวยเนื่องจากอาการป่วยจากโรคโควิด-19 มักร้ายแรงสำหรับผู้ป่วยที่มีสุขภาพไม่ดีซึ่งโดยปกติคนจนก็มักเป็นกลุ่มที่มีสุขภาพและโภชนาการด้อยกว่าคนทั่วไป[4]และจากการสำรวจยังพบว่าประชาชนระบุว่าการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ทำได้ยากลำบากมากขึ้น[3]ซึ่งคนที่มีทรัพยากรเพียงพอนั้นมีทางเลือกอื่นที่สามารถทดแทนการไปหาแพทย์ได้ในขณะที่คนจนนั้นทำไม่ได้โดยรวมแล้วโควิด-19 จึงทำให้ช่องว่างความแตกต่างในทุนมนุษย์ห่างกันมากขึ้น

ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นอาจไม่หายไปหรือกระทั่งเพิ่มสูงขึ้นหลังการระบาดของโควิด-19กล่าวคือวิกฤตครั้งนี้ขยายช่องว่างความแตกต่างในทุนมนุษย์และทุนกายภาพระหว่างคนจนและคนรวยและอาจส่งผลให้ระดับการผูกขาดในตลาดสูงขึ้นเนื่องจากการสูญหายของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในช่วงการระบาดตลอดจนเพิ่มระดับความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองทรัพย์สินให้สูงขึ้นอันมาจากผลพวงของการเพิ่มขึ้นของความเหลื่อมเหลื่อมล้ำทางรายได้ซึ่งอาจส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสและโครงสร้างอำนาจทางการเมืองอีกทอดหนึ่ง

อย่างไรก็ตามวิกฤตครั้งนี้ได้ทำให้ประชาชนจำนวนมากได้หันมามองเห็นปัญหาของความเหลื่อมล้ำและได้มีประสบการณ์ตรงกับระบบสวัสดิการของรัฐซึ่งอาจทำให้ทัศนคติของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เอื้อต่อการผลักดันนโยบายการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยดังนั้นวิกฤตครั้งนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีในการลงมือผ่าตัดโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่และปัญหาเรื้อรังที่มีอยู่แล้วในคราวเดียวเพื่อนำไปสู่การฟื้นตัวและการเติบโตอย่างทั่วถึงในระยะยาว

เพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มสูงขึ้นจากวิกฤตครั้งนี้รัฐบาลควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนในสังคมมีโอกาสอย่างเท่าเทียมและมีการกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึงเพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (inclusive growth)[5]โดยนโยบายที่สำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้แก่

  1. ส่งเสริมให้ประชาชนทุกคนมีสุขภาพที่ดีให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้ารับบริการการรักษาที่มีคุณภาพหนึ่งทางเลือกคือการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้แพทย์สามารถทำการรักษาโรคแบบทางไกลได้ (telemedicine) พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้ทางสุขภาพให้ประชาชนฐานรากและพัฒนาคุณภาพการให้บริการของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของรัฐ
  2. ลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาพัฒนาคุณภาพบุคลากรครูอาจารย์และการเรียนการสอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนในชนบทและที่ห่างไกลนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนทางไกลส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะใหม่หรือพัฒนาทักษะเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันกับโลกยุคปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล
  3. พัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคมจากวิกฤตที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าประชาชนจำนวนมากยังมีการตกหล่นจากความช่วยเหลือจากรัฐนอกจากนั้นระบบการคุ้มครองทางสังคมยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างดีฉะนั้นภาครัฐควรเร่งพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคมให้สามารถคุ้มครองประชาชนได้อย่างถ้วนหน้าให้ความช่วยเหลืออย่างทันถ่วงทีและเพียงพอ
  4. ส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินโดยสร้างกลไกจัดการความเสี่ยงเพื่อทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กและกลางสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในยามวิกฤตได้ออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับรายย่อยโดยอาศัยเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตเช่นการนำ FinTech มาช่วยลดความอสมมาตรทางข้อมูล (asymmetric information) ระหว่างผู้ให้บริการทางการเงินและผู้ประกอบการ SMEs หรือการสนับสนุนโครงสร้าง Microfinance ให้แข็งแรงขึ้นซึ่งจะเสริมการเข้าถึงสินเชื่อการประกอบการในอนาคตสร้างโอกาสสำหรับคนรายได้น้อยในการเป็นผู้ประกอบการ
  5. ปรับปรุงระบบภาษีให้สามารถกระจายรายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นมาตรการทางภาษีเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการกระจายรายได้แต่ในปัจจุบันยังมีช่องโหว่ในระบบให้คนรวยจำนวนมากไม่ต้องเสียเงินได้หลายประเภทรัฐบาลควรแก้ไขกฎหมายเพื่อปิดช่องโหว่ต่างๆตลอดจนทบทวนมาตรการลดหย่อนภาษีที่เอื้อกับผู้มีรายได้สูงและพัฒนาการจัดเก็บภาษีที่ดินและทรัพย์สินให้มีความเหมาะสม
  6. ปรับปรุงปัจจัยเชิงสถาบันลดการผูกขาดของทุนใหญ่ในตลาดโดยการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจังกระจายอำนาจการคลังและการเมืองสู่ท้องถิ่นสร้างความเข้มแข็งให้สื่อและภาคประชาชนรวมถึงปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อกำจัดปัญหาคอร์รัปชันและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการประชาธิปไตยอันนำไปสู่การออกแบบนโยบายที่มีการคำนึงถึงผลประโยชน์ของคนทุกกลุ่มในสังคม

หมายเหตุ: บทความนี้เป็นหนึ่งในผลงานโครงการศึกษาผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19: กลไกการรับมือและมาตรการช่วยเหลือ โดยการสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้แผนงาน economic and social monitor เพื่อการจัดทำรายงานสถานการณ์และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมโดยใช้ข้อมูลการสำรวจจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ


ช่วยแชร์ด้วยนะคะ