ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เปิดปฎิบัติการ “Hybrid Scam ลวงรักชายวัยเกษียณ
หลอกลงทุน” ความเสียหายเกือบ 2 ล้านบาท

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ประดิษฐ์ เปการี, พ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์, พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รอง ผบก.ปอท.

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย พ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท., พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ รอง ผกก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วยกำลัง กก.2 บก.ปอท., กก.1 บก.ปอท., กก.4 บก.ปคบ., กก.5 บก.ปคม.,
กก.12 บก.รน., บก.ป. และ ส.ทล.5 กก.5 บก.ทล.
ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา ประกอบด้วย
1. นายชาญณรงค์ อายุ 27 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6731/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
2. นายรัตนพล อายุ 26 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6730/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
3. นายณัฐพงษ์ อายุ 25 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6732/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
4. นายสุทธิพงศ์ อายุ 23 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6735/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
5. นายจิรพัฒน์ อายุ 21 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6736/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
6. นายภานุวัฒน์ อายุ 31 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6744/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
7. น.ส.เจนจิรา อายุ 33 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6734/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
8. นายนิคม อายุ 22 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6729/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
9. นายณัฐชัย อายุ 35 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6741/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
10. นายสหรัฐ อายุ 26 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6728/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
11. น.ส.กรนันท์ อายุ 19 ปี บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6747/2568 ลงวันที่ 17 พ.ย.68
12. MS. KETMANY (เกดมะนี) อายุ 32 ปี สัญชาติลาว บุคคลตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 6858/2568
ลงวันที่ 19 พ.ย.68
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง, สมคบกันโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”
พฤติการณ์ สืบเนื่องมาจาก กก.2 บก.ปอท. ได้รับการร้องขอให้ช่วยตรวจสอบ กรณีพบว่า อดีตคณบดี มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง มีการพูดคุยกับหญิงสาวหน้าตาดีที่รู้จักกันผ่านโซเชียลมีเดีย จากนั้นอดีตคณบดีคนดังกล่าว ได้มีพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินมากผิดปกติ โดยอ้างว่าเป็นการนำไปลงทุน ซึ่งคนรอบข้างได้พยายามเตือนและทักท้วง แต่อดีตคณบดีคนดังกล่าวไม่เชื่อ ยังคงพูดคุยกับหญิงสาวคนดังกล่าว และโอนเงินไปลงทุนต่อ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบพบว่า หญิงสาวคนดังกล่าวเป็นโปรไฟล์ที่มีการไปคัดลอกรูปภาพของบุคคลอื่น แล้วนำไปสร้างโปรไฟล์ปลอมขึ้นมา จึงได้ติดต่อไปยังบุคคลที่โดนนำรูปภาพไปแอบอ้าง เพื่อแจ้งเรื่องให้ทราบ แต่บุคคลดังกล่าวกลับเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และไม่ยอมพูดคุย
จากการสืบสวนพฤติการณ์ในคดีทราบว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2568 ขณะที่ผู้เสียหายกำลังเล่น แอปพลิเคชัน TIKTOK ผู้เสียหายได้พบบัญชีผู้ใช้ปลอมชื่อ “พลอยใส่ พุทธเลิศ” ซึ่งแสดงตัวเป็นหญิงไทยหน้าตาดี มีการลงโพสต์ต่อเนื่อง โดยเนื้อหาส่วนใหญ่มีลักษณะสื่อถึงความเป็นโสด ความเหงา และต้องการหาคนพูดคุย ทั้งยังใช้ถ้อยคำดึงดูดความสนใจ เพื่อสร้างความเชื่อถือและกระตุ้นให้มีการติดต่อกลับ ทำให้ผู้เสียหายเกิดความสนใจและติดต่อไปหาคนร้าย ต่อมาคนร้ายได้ชักชวนให้เสียหายติดต่อพูดคุยกันผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ผู้เสียหายติดต่อพูดคุยกับคนร้ายเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 1 เดือน จนผู้เสียหายรู้สึกชอบพอ ไว้เนื้อเชื้อใจ จากนั้นคนร้ายได้ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนหุ้นทองคำผ่านเว็บไซต์ “xm.zfmi.top” (เว็บไซต์ปลอม) โดยอ้างว่าเป็นการร่วมลงทุนระหว่างผู้เสียหายและคนร้าย ซึ่งคนร้ายจะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนให้ผู้เสียหาย โดยได้ขอข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหาย ทั้งชื่อ – นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ และให้ผู้เสียหายตั้งรหัสผ่านให้ โดยอ้างว่าจะนำไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ปลอมดังกล่าว ผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินร่วมลงทุนรวม 10 ครั้ง เป็นเงินทั้งหมดเกือบ 2 ล้านบาท เมื่อคนรอบข้างผู้เสียหายทราบเรื่อง ได้ช่วยกันพยายามห้ามปรามผู้เสียหาย เนื่องจากเชื่อว่าเป็นการหลอกลวง แต่คนร้ายยังพูดจาหว่านล้อมผู้เสียหายจนผู้เสียหายหลงเชื่อ และจะร่วมลงทุนอีก จึงได้ร้องเรียนมายัง กก.2 บก.ปอท. หลังจากการตรวจสอบเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเป็นการหลอกลงทุน จึงได้ห้ามปรามผู้เสียหายไม่ให้โอนเงินไปร่วมลงทุนอีก
จากการสืบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานขอออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 23 ราย (คนไทย 18 ราย และคนลาว 5 ราย) โดยแบ่งเป็นกลุ่มเจ้าของบัญชีม้าและทำหน้าที่เบิกถอนเงินสด จำนวน 15 ราย, กลุ่มทำหน้าที่รวบรวมเงินสด จำนวน 3 ราย, กลุ่มฟอกเงิน จำนวน 5 ราย และจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มผู้ต้องนี้มีความเกี่ยวข้องกับอีก 13 คดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 6 ล้านบาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. ร่วมกับ กก.1 บก.ปอท., บก.ทล., บก.ปคบ., บก.ปคม. และ บก.รน. เปิดปฏิบัติการปราบปราม “Hybrid Scam ลวงรักชายวัยเกษียณหลอกลงทุน” ความเสียหายเกือบ 2 ล้านบาท โดยเข้าทำการปิดล้อมตรวจค้น จำนวน 12 จุด ในพื้นที่ กทม., นนทบุรี, นครสวรรค์ และเชียงราย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 12 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆ อาทิเช่น โทรศัพท์ 13 เครื่อง, สมุดบัญชี 13 เล่ม, บัตรเอทีเอ็ม 8 ใบ, สลิปการโอนเงิน 5 ใบ, เสื้อผ้าที่ผู้ต้องหาสวมใส่ขณะทำรายการถอนเงิน, รถยนต์ 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 5 คัน
จากการสืบสวนขยายผลพบว่า ภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน กลุ่มผู้ต้องหานี้มีเงินหมุนเวียนรวมกันเกือบ 20 ล้านบาท โดยกลุ่มผู้ต้องหาส่วนใหญ่ เป็นวัยรุ่นในพื้นที่จรัญสนิทวงศ์ กทม. มีการรวมกลุ่มกันเพื่อรับงานเบิกถอนเงินสดให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศลาว โดยมี MS. KETMANY (เกดมะนี) สัญชาติลาว และนายชาญณรงค์ (แฟนหนุ่ม) เป็นหัวหน้าแก๊งในการจัดหาบัญชีม้า ควบคุมการเบิกถอนเงินสด และรวบรวมเงินสด, นายนิคม และนายณัฐชัย มีหน้าที่เบิกถอนเงินสดในพื้นที่ อ.เมือง และ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย, น.ส.เจนจิรา มีหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินดิจิทัล (USDT) จากนั้นจะโอนต่อไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ตามที่แก๊งคอลเซนเตอร์สั่งการ และจากการตรวจสอบเพิ่มเติมยังว่า น.ส.เจนจิรา ยังมีพฤติการณ์ในการเป็นนายหน้าซื้อขายบัญชีธนาคารบุคคล และบัญชีธนาคารนิติบุคคล เพื่อส่งไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในประเทศลาว
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น
MS. KETMANY (เกดมะนี) ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การรับในข้อเท็จจริงว่า ตนเองได้รับงานเบิกถอนเงินสดมากลุ่มชาวลาว ซึ่งเป็นสมาชิกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศลาว จากนั้นตนเองจะหาบัญชีธนาคารมาเพื่อรับเงินที่ได้จากการหลอกลวงเหยื่อ โดยได้รวบรวมกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ในพื้นที่จรัญสนิทวงศ์ และพื้นที่ใกล้เคียง มาเพื่อเป็นบัญชีม้า และเบิกถอนเงินสด โดยเงินสดที่เบิกถอนมา จะนำไปฝากบัญชีธนาคารต่างๆ ตามที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์สั่งการ ได้ค่าจ้าง 10% ของจำนวนเงินที่เบิกถอน โดยทำมาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2568
นายนิคม ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การรับในข้อเท็จจริงว่า มีหน้าที่เบิกถอนเงินสดในพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จากนั้นจะนำเงินสดส่งต่อให้กับชาวลาว ซึ่งเป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บริเวณใกล้เคียงกับจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ (สบรวก) ได้ค่าจ้าง 1% ของจำนวนเงินที่เบิกถอน โดยทำมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2568
นายณัฐชัย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การรับในข้อเท็จจริงว่า มีหน้าที่เบิกถอนเงินสดในพื้นที่ อ.เมือง จ.เชียงราย จากนั้นจะนำเงินไปฝากเข้าบัญชีธนาคารต่างๆ ตามที่แก๊งแก๊งคอลเซ็นเตอร์สั่งการ ได้ค่าจ้าง 1% ของจำนวนเงินที่เบิกถอน โดยทำมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2567
นายรัตนพล, นายณัฐพงษ์, นายสุทธิพงศ์, นายจิรพัฒน์ และนายภานุวัฒน์ ให้การปฏิเสธตลอด ข้อกล่าวหา แต่ให้การรับในข้อเท็จจริงว่า ตนเป็นกลุ่มบัญชีม้าและมีหน้าที่ในการเบิกถอนเงินสด ตามคำสั่งของ MS. KETMANY (เกดมะนี) จากนั้นจะนำเงินสดไปส่งมอบให้แก่ MS. KETMANY (เกดมะนี) และ นายชาญณรงค์
น.ส.เจนจิรา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การรับในข้อเท็จจริงว่า ตนเองได้แลกเปลี่ยน เงินบาทเป็นเงินดิจิทัล (USDT) ตามคำสั่งของคนที่รู้จักกันผ่านแอปพลิเคชัน Telegram และยังให้การรับอีกว่า ตนเองเคยเดินทางไปที่ประเทศลาว และได้พบกับกลุ่มชาวจีนที่เชื่อว่าเป็นนายทุนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อีกทั้งยังเคยเป็นนายหน้าจัดหาบัญชีธนาคาร ส่งไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศลาว อีกด้วย
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ประชาสัมพันธ์เตือนภัยประชาชน ขอให้ใช้ความระมัดระวังก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันมีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะรูปแบบการหลอกให้รักแล้วชวนลงทุน หรือโรแมนซ์สแกรม โดยมิจฉาชีพจะมีการใช้รูปโปรไฟล์ปลอม ติดต่อมาพูดคุยจนเกิดความเชื่อใจ จากนั้นจะเชิญชวนให้ร่วมลงทุนในธุรกิจต่างๆ โดยมีการอ้างผลตอบแทนสูง หรือมีการให้ผลตอบแทนจริงในช่วงแรก ดังนั้น ก่อนการลงทุนทุกครั้ง ขอให้ตรวจสอบแหล่งที่มาก่อนตัดสินใจลงทุน โดยตรวจสอบชื่อบริษัท แพลตฟอร์ม หรือบุคคลที่ชวนลงทุนกับเว็บไซต์ ก.ล.ต. และหากพบว่าการลงทุนใดๆ มีการเสนอผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงผิดปกติ อ้างว่าเป็นโอกาสพิเศษ หรือมีช่วงเวลาจำกัด ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพ
ในส่วนของผู้กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นบัญชีม้าผู้รับเงิน หรือผู้ที่มีหน้าที่ถอนเงินสดให้กับกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีโทษหนักถึงจำคุก
ทั้งนี้ หากประชาชนท่านใดได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ทุกรูปแบบ สามารถติดต่อไปยังสายด่วนศูนย์ AOC 1441 ตลอด 24 ชั่วโมง
ช่องทางการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พ.ต.ท.ศุภเดช ธนชัยศิริ สว.กก.2 บก.ปอท. โทรศัพท์
096-519-6351






