“หลวงปู่” อดีตนักมวยระดับชาติ ก้าวเข้าสู่ร่มเงาแห่งธรรม อาศัยดงป่าไผ่เป็นสำนักสงฆ์
“พระอาจารย์มนัส” (ศิษยานุศิษย์มักจะเรียกท่านว่า “หลวงปู่”) แห่งวัดบ้านวังปลัด ต.บ้านแพ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ใช้ชีวิตสมถะ เรียบง่าย ไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า อาศัยดงป่าไผ่เผยแผ่แก่นธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงอบรมกุลบุตร กุลธิดา ให้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่พ้นไปจากพระไตรปิฎกที่เป็นความจริง เพียงแต่ทรงแสดงหลายพระสูตร หลายเรื่อง ตามอัธยาศัยของสัตว์ที่ไม่เหมือนกัน พระอรหันต์ทุกท่าน ก็ได้ถ่ายทอดธรรมผ่านทายาทธรรม อันได้แก่ พระอริยสงฆ์เจ้า โดยเฉพาะในดินแดนภาคอีสานอันห่างไกล ได้กลายเป็นที่ให้กำเนิดกองทัพธรรมอันยิ่งใหญ่ ทำให้พระพุทธศาสนาผ่านช่วงกึ่งพุทธกาลอย่างราชสีห์ในดินแดนประเทศไทย ซึ่งมี หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้หมุนกงล้อธรรมอีกครั้ง เพื่อให้ธรรมะดำรงคงอยู่สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้
กองทัพธรรมสายพระป่า อาทิ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ชา สุภัทโท และท่านอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งบางท่านได้ใช้ชีวิตของตนเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติธรรมกระจายไปยังวัดต่างๆ ล้วนเคยเดินดินกินข้าว ทำงาน แต่งงานมาแล้ว แต่สามารถพลิกชะตาจากฆราวาสที่สองเท้าเคยเหยียบย่ำในโคลนแห่งการได้ลาภ-เสื่อมลาภ ได้ยศ-เสื่อมยศ สรรเสริญ-นินทา ทุกข์-สุข ตามประสาโลก แล้วก้าวเข้าสู่ร่มเงาแห่งธรรมนั้น เป็นพระอรหันต์ในที่สุด ล้วนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ในทางกลับกัน วิถีของพระอริยสงฆ์แห่งกองทัพธรรม เห็นความสำคัญของธรรมะยิ่งกว่าสิ่งใด ตัดสินใจเดินตามรอยพระพุทธเจ้า ท่านจึงละทิ้งทางโลกอย่างสิ้นเชิง โดยมีเป้าหมายชัดแจ้งกระจ่างใจว่า ทุกอณูของหยาดเหงื่อแรงกาย แรงใจ ชีวิตและจิตวิญญาณ ทุกลมหายใจ อยู่ที่เส้นชัยนี้เท่านั้น คือ “ต้องบรรลุธรรม ถึงพระนิพพานให้ได้ภายในชาตินี้”
เฉกเช่นเดียวกับอัติประวัติของ “พระอาจารย์มนัส” (ศิษยานุศิษย์มักจะเรียกท่านว่า “หลวงปู่”) แห่งวัดบ้านวังปลัด ต.บ้านแพ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ เรื่องราวอัติประวัติของ “พระอาจารย์มนัส” นี้ ท่านเกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ด เกิดปี พ.ศ. 2514 ตรงกับปีกุล อดีตท่านเคยเป็นนักมวยระดับชาติมาก่อน ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย รักในความสันโดษ มักน้อย อาศัยอยู่ในกุฏิคล้ายกระท่อมนาเล็กๆ มีกระดานไม้ปูแค่พอนอนได้ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำปะปา มีเพียงแหล่งแม่น้ำมูลที่ใช้ตักอาบ ท่านอาศัยอยู่ในดงป่าไผ่เป็นสำนักสงฆ์ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของท่าน โดยมี “หลวงพ่อประกอบ” สหายธรรม เพียง 2 รูปเท่านั้น โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เป็นดงป่าไผ่ ห่างจากวัดบ้านวังปลัดออกไปประมาณ 500 เมตร โดยมีแบบอย่างมาจากครูบาอาจารย์ของท่าน เช่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่แหวน และหลวงปู่สรวง เป็นต้น
ก่อนหน้านี้ท่านชอบเดินธุดงค์ไปตามป่าตามเขา จึงไม่มีใครทราบเรื่องราวประวัติของท่านและอายุที่แท้จริงของท่านมากนัก แต่ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงมักจะเรียกขานนามของท่านสั้นๆ ว่า “หลวงปู่” เนื่องจากท่านเป็นพระผู้ทรงบำเพ็ญเพียรบารมี อบรมบ่มญาณแก่กล้า มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในหมู่นักธรรมกรรมฐานว่า ท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมขั้นอุกฤษฏ์ เชี่ยวชาญในเจโตสมาธิ ทั้งในด้านสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ปรารถนาพุทธภูมิ โดยหลวงปู่ท่านเป็นพระผู้ทรงศีลปฏิบัติธรรมกรรมฐานอยู่เป็นนิจ มักจะพร่ำสอนญาติโยมที่เข้ามากราบไหว้เสมอๆ ว่า “ให้กตัญญูรู้คุณแผ่นดินชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม และประกอบคุณงามความดี ยึดหลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการดำเนินชีวิต”
บริเวณแห่งนี้ ถ้ากล่าวถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เมื่ออดีตกาล ก็เหมือนอยู่ในป่าหิมพานต์แดนดินอันศิวิไลซ์ดั่งธาตุทั้ง 5 อัน ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ที่เปรียบดั่งธรรมชาติ และธรรมชาติ ก็คือ ธรรมะ รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้คนก็นับถือธรรมะที่หลอมรวมธรรมชาติอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ณ สถานที่แห่งนี้ จึงเปรียบเป็นแผ่นดินทอง แผ่นดินเงิน แผ่นดินธรรม บนผืนแผ่นดินไทย ดังนั้นคำสอนของหลวงปู่จึงมุ่งเน้นไปที่พระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกี่ยวกับความจริงตามธรรมชาติของทุกข์ และวิธีการดับทุกข์ คือ ความจริงหรือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และนำมาสั่งสอนนั่นเอง ดั่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
ขอขอบคุณ
บทสารคดี/ภาพ โดย : นริศรา อ่อนเรียน
Facebook Page : บุกเบิกอารยธรรมแดนสยาม
YouTube Channel : สารคดีบุกเบิกอารยธรรมแดนสยาม
สถานที่ : วัดบ้านวังปลัด ต.บ้านแพ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :