บ้านปู เปิดค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ‘เพาเวอร์กรีน’ (Power Green Camp) ครั้งที่ 17 “Climate Change, We Must Change – เริ่มเพื่อโลก” ณ ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ

ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

บ้านปู จับมือคณะสิ่งแวดล้อมฯ มหิดล พา 50 เยาวชนหัวใจสีเขียว ลงพื้นที่ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ เรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ร่วมกับ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เดินหน้าสานต่อค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ‘เพาเวอร์กรีน’ ครั้งที่ 17 ภายใต้หัวข้อ “Climate Change, We Must Change – เริ่มเพื่อโลก” เปิดโอกาสให้เยาวชน ได้เรียนรู้ประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทั้งภาคทฤษฎีแบบเข้มข้น และภาคปฏิบัติด้วยการลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้ปัญหาเชิงลึก รวมถึงการพัฒนาโครงงานวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมให้เยาวชนนำองค์ความรู้ไปประยุกต์เพื่อพัฒนาทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับชุมชน สังคม และประเทศชาติ ซึ่งจะเป็นรากฐานนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนในอนาคต
โครงการค่าย “เพาเวอร์กรีน” ในปีนี้ มีเยาวชนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ทั่วประเทศ ให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนทั้งสิ้น 285 คน จาก 177 โรงเรียน 65 จังหวัด โดยผู้สมัครได้จัดทำคลิปวิดีโอเสนอแนวคิดและความเข้าใจเรื่องผลกระทบของ Climate Change ต่อชุมชนที่อาศัยและแนวทางการแก้ไขปัญหา ก่อนคัดเลือก 50 เยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

สำหรับกิจกรรมในปีนี้ เริ่มตั้งแต่การปูพื้นฐาน เรียนรู้ปัญหา เข้าใจสาเหตุ และผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านช่องทางออนไลน์ เมื่อวันที่ 15-16 ตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนเข้าสู่กิจกรรมการเรียนรู้ภาคสนามระหว่างวันที่ 18-25 ตุลาคม 2565 ภายใต้แนวคิดของค่ายฯ “วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม – เรียนรู้สู่การปฏิบัติ” โดยเยาวชนได้ลงพื้นที่จริง เพื่อศึกษาถึงปัญหา และผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ก่อนระดมความคิดสร้างสรรค์โครงงานวิทยาศาตร์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสถานที่แรกของการลงพื้นที่จริงคือ ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน จังหวัดสมุทรปราการ ที่จะได้เรียนรู้ถึงปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งซึ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี รวมถึงเรียนรู้วิธีการปรับตัวของชาวชุมชนที่ต้องต่อสู้เพื่ออยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากน้อง ๆ เยาวชนทั้ง 50 คน ยังมีพนักงานบ้านปูมาร่วมเรียนรู้เรื่องปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปด้วยกัน

รัฐพล สุคันธี
ผู้อำนวยการสายอาวุโส – สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)

นายรัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส – สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอด 17 ปี ของค่ายเพาเวอร์กรีน เราได้เห็นแล้วว่ามีเยาวชนจำนวนมากที่มีความมุ่งมั่น และต้องการเข้ามามีส่วนช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในชุมชนที่ตัวเองอยู่อย่างจริงจัง บ้านปูรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเสริมพลังความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ให้กับน้อง ๆ เพื่อนำไปต่อยอดและพัฒนาสภาพแวดล้อมในชุมชนของตัวเองในอนาคต เราภูมิใจที่ได้เห็นเยาวชนค่ายเพาเวอร์กรีนในรุ่นต่าง ๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเลือกดำเนินชีวิตอย่างเห็นคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติรอบตัว และที่น่าปลื้มใจคือเครือข่ายเยาวชนของค่ายฯ เราพร้อมที่จะกลับมาร่วมส่งต่อองค์ความรู้ให้แก่น้อง ๆ รุ่นใหม่อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมุ่งสานต่อการทำค่ายเยาวชนเพาเวอร์กรีนทั้งในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป เพื่อสร้างเยาวชนคุณภาพออกไปเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของประเทศ ที่สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของบ้านปูในการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมตามหลักการ ESG ที่บริษัทฯ ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจมาตลอด 40 ปี”

ดร.ธัญภัทร ศาสตระบุรุษ
อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธานโครงการฯ

ด้าน ดร.ธัญภัทร ศาสตระบุรุษ อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะประธานโครงการค่ายเพาเวอร์กรีน ครั้งที่ 17 กล่าวว่า “ปัญหาโลกร้อนและความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นสิ่งที่วงการวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนภาครัฐและภาคเอกชนทั่วโลก ได้ตระหนักถึงความสำคัญและเข้ามาร่วมแรงร่วมใจบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การจะแก้ปัญหานี้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมยังต้องอาศัยทั้งเวลาและความร่วมมือจากทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ในนามของคณะสิ่งแวดล้อมฯ มหาวิทยาลัยมหิดล เรามีความยินดีที่ได้สานต่อความร่วมมือกับทางบ้านปูมาตลอด 17 ปี เรามุ่งหวังว่าเยาวชนที่ได้มาเข้าค่ายจะเติบโตขึ้นเป็นกลุ่มผู้นำและเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจำวัน และส่งต่อความรู้ไปยังครอบครัว คนใกล้ชิด โรงเรียน ชุมชน และสังคม ให้ได้รับทราบถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และการอยู่อาศัยร่วมกันกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนตลอดไป”

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :



ช่วยแชร์ด้วยนะคะ