โดนน้ำร้อนลวก ล้างน้ำเย็น ลดความร้อนที่สัมผัสกับผิวหนัง
โดนน้ำร้อนลวก ล้างน้ำเย็นๆ จะเป็นวิธีลดความร้อนที่สัมผัสกับผิวหนังลง และนานที่สุดจนเนื้อเยื่อไม่ร้อน ถ้าไม่มีน้ำแข็ง ก็น้ำเปล่าธรรมดาก็ได้
ตอนออกหน่วยฯ เด็กนักเรียนถูกน้ำร้อนจากหม้อต้มขนาดใหญ่หก ลวกขา ผมยังเห็นภาพคนเอายาสีฟันทาบริเวณที่โดนน้ำร้อนลวกกันอยู่ ตามความเชื่อที่เชื่อต่อๆกันมา ซึ่ง เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เป็นแค่การหลอกความรู้สึกตัวเองว่าเย็น แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ช่วยอะไรเลย แถมยังเป็นอันตรายอีกด้วยครับ
เวลาถูกน้ำร้อนลวก เซลล์ผิวหนังจะได้รับบาดเจ็บจากความร้อน ซึ่งความรุนแรง แปลตามระดับความร้อน X เวลาที่ผิวหนังสัมผัสความร้อน … หากความร้อนมาก เวลานาน ระดับความเสียหายของผิวหนังจะมาก …ความเสียหายของผิวหนังจะค่อยๆลึกลงไปตามชั้นของผิวหนัง ถ้าน้อยก็เกิดความเสียหายตื้นๆ ซึ่งหายเร็ว แต่ถ้าความเสียหายซึมลึกก็หายช้า ซึ่งอาจจะมากจนผิวหนังเสียหายทั้งหมด จนต้องปลูกถ่ายผิวหนังเพื่อทดแทนผิวหนังที่เสียหายไป
การปฐมพยาบาลเมื่อถูกน้ำร้อนลวกที่ดีที่สุด คือ ลดความเสียหายของผิวหนังให้มากที่สุด คือ ลดความร้อนที่สัมผัสผิวหนังให้มากที่สุด เพราะถ้าความร้อนถูกผิวหนังน้อย ความเสียหายจะน้อย และรักษาง่ายขึ้น….และการล้างน้ำเย็นๆ จะเป็นวิธีลดความร้อนที่สัมผัสกับผิวหนังลงได้มาก….ล้างน้ำเย็นให้มาก และ นานที่สุดจนเนื้อเยื่อไม่ร้อนแล้วจึงหยุด ถ้าไม่มีน้ำแข็ง ก็น้ำเปล่าธรรมดาก็ได้ เปิดน้ำก๊อกล้างๆๆๆๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ล้างให้มากและนาน โดยไม่ต้องขัด หรือ ถู เพราะการขัดหรือถู จะทำให้ผิวหนังที่เสียหายลอกออก และมีความเสียหายเพิ่มขึ้น จึงควรทำแค่ล้างน้ำอย่างเดียว ไม่ควรนำอะไรไปพอก….ยาสีฟัน จะระคายผิวหนัง เพราะมีสารเคมีที่ฟอกและขัดให้ฟันสะอาด จะมีส่วนประกอบที่ระคายเวลาถู จึงเป็นอันตรายต่อผิวหนังที่ถูกน้ำร้อนลวก
เมื่อล้างจนเย็นแล้ว สามารถใช้ ว่านหางจรเข้พอกได้ (ปอกผิวออก อย่าให้โดนยางที่ผิว) หรือ ถ้ามียา silver zinc sulfadiazine ก็ใช้ได้…อย่างไรก็ดี หากโดนน้ำร้อนเป็นบริเวณกว้าง หรือบริเวณใบหน้า ควรพบแพทย์ เพราะมีอันตรายถึงชีวิตได้ … หรือ บริเวณที่โดนน้ำร้อนลวก เป็นมาก เป็นสีขาวซีด (แสดงว่าผิวหนังถูกทำลายจนถึงชั้นลึก) ก็ควรพบแพทย์
ปฐมพยาบาลเวลาถูกน้ำร้อนลวก คือ ล้างน้ำนะครับ ล้างมากๆ น้ำเย็น ล้างนานๆ นานที่สุดเท่าที่ทำได้จนเมื่อออกจากน้ำแล้ว เนื้อเยื่อบริเวณนั้น ไม่ร้อนอีก
ขอขอบคุณข้อมูล บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่ :